จิม ทอมป์สัน เผยโซนร้านอาหารสุดอลังการที่ “ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน” โฉมใหม่ อีกอาณาจักรแห่งสุดยอดไลฟ์สไตล์

จิม ทอมป์สัน แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ชื่อดังของเมืองไทย เปิดตัวโซนร้านอาหารโฉมใหม่สุดยิ่งใหญ่ตระการตาเป็นครั้งแรกภายใต้คอนเซ็ปต์ “Another New Chapter Begins: A Culinary Journey at Jim Thompson, A Thai Restaurant” พร้อมกลับมาสร้างตำนานบทใหม่อีกครั้ง ชวนลูกค้าดื่มด่ำกับเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่ผสานความคิดสร้างสรรค์กับรสชาติแห่งความเป็นไทยได้อย่างลงตัว โดยการเปิดตัวในแบบซอฟต์โอเพนนิ่งของโซนร้านอาหารโฉมใหม่ในครั้งนี้ พร้อมให้ทุกคนได้พบกับ ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน ในรูปแบบใหม่ที่ยิ่งใหญ่และงดงามกว่าเคย แถมยังสร้างเซอร์ไพรส์กับการเผยโฉมบาร์ใหม่ไวบ์ดีอย่าง “The OSS Bar” เพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มแสนวิเศษตลอดทั้งช่วงกลางวันและยามค่ำคืน
0002

เมนูที่เสิร์ฟใน “ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน” ล้วนใส่ใจกับการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจากท้องถิ่นเพื่อซัพพอร์ตชุมชน พร้อมรังสรรค์เป็นจานพิเศษที่สะท้อนถึงความรักที่จิม ทอมป์สันมีต่ออาหารไทย ที่ร้านนำเสนออาหารไทยรสชาติดั้งเดิม อาหารไทยสไตล์โมเดิร์น และเมนูเพื่อการลิ้มลอง (Degustation Menu) ที่เชฟภูมิใจรังสรรค์เป็นพิเศษ ทุกจานล้วนเปิดประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นราวกับได้ย้อนเวลากลับไปเป็นแขกร่วมโต๊ะกับ จิม ทอมป์สัน แขกยังจะได้เพลิดเพลินกับค็อกเทลหลากหลายรสชาติได้ในบาร์ใหม่สุดฮิป The OSS Bar ที่ชื่ออินสไปร์มาจากหน่วยสืบราชการของสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละแก้วสร้างสรรค์โดยมิกซ์โซโลจิสต์ชั้นนำ ให้แขกทุกคนได้เอ็นจอยท่ามกลางบรรยากาศงดงามแสนสงบบนระเบียงริมคลอง

003

โซนร้านอาหารแห่งนี้ได้รับการออกแบบคอนเซ็ปต์โดย NEXT Hospitality Group และได้บริษัทดีไซน์ชื่อดังอย่าง HBA ดูแลงานดีไซน์อันงดงาม ด้วยแนวคิดในการนำเอาผลิตภัณฑ์ผ้าตกแต่งสุดยูนีคของธุรกิจตกแต่งบ้านของจิม ทอมป์สัน กว่า 70 แบบมาครีเอตสเปซสุดตระการตา นับเป็นการยกย่องจิม ทอมป์สัน ในฐานะเจ้าบ้านที่ในอดีตเคยเปิดบ้านต้อนรับเหล่าคนสำคัญมากมายทั้งนักเขียน นักการทูต และเหล่าเซเลบริตี้ โดยธรรมเนียมการรับแขกอย่างอบอุ่นและเปี่ยมด้วยมิตรไมตรีของจิม ทอมป์สัน ได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการตกแต่งที่ทันสมัยและงานศิลป์อันงดงามที่ประดับประดาอยู่ในทุก ๆ ชั้น

0004
ที่โซนร้านอาหารโฉมใหม่นี้จะเปิดประสบการณ์การลิ้มรสที่หลากหลายรสชาติตลอดทั้งวัน แขกที่ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จสามารถแวะรับประทานมื้อเที่ยงแสนอร่อยท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นของสวนริมบ่อปลาคาร์ป ส่วนช่วงเย็นก็ดื่มด่ำกับเมนูอาหารแนวโปรเกรสซีฟไทยอันน่าตื่นเต้นที่เอ็นจอยคู่กับไวน์รสเลิศ หรือจะพักเหนื่อยมาจิบน้ำชายามบ่ายพร้อมวิวบ้านไทยและสวนสวยของจิม ทอมป์สัน ก็ได้เช่นกัน ทุกองค์ประกอบของโซนร้านอาหารใหม่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์และศิลปะแห่งการต้อนรับแขกของจิม ทอมป์สัน เพื่อสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้แขกผู้มาเยือนทุกคน

0005
การเผยลุคใหม่ของ “ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน” ถือเป็นการปรับโฉมสุดยิ่งใหญ่ของแบรนด์ นับเป็นการผสานความแข็งแกร่งของธุรกิจแฟชั่นและสินค้าตกแต่งบ้านของแบรนด์มาสร้างเอกลัษณ์ให้ธุรกิจอาหาร และถ่ายทอดความเป็นแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ของ จิม ทอมป์สัน ได้เป็นอย่างดี โดย แฟรงก์ แคนเซลโลนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด แบรนด์ จิม ทอมป์สัน ได้เล่าถึงการเปิดบริการในครั้งนี้ว่า “ธุรกิจร้านอาหารของจิม ทอมป์สัน พร้อมเข้ามาเติมเต็มการเป็นที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์

เดสติเนชันของ “Jim Thompson Heritage Quarter” การเปิดโซนร้านอาหารใหม่นี้เป็นการออกเดินทางสู่ถนนเส้นใหม่ที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความน่าตื่นเต้น และบริการที่เหนือระดับ ทั้งยังตอกย้ำความตั้งใจของเราในการรักษาขนบธรรมเนียมของไทย ซึ่งเป็นคุณค่าที่หล่อเลี้ยงจิม ทอมป์สัน ให้กลายเป็นแบรนด์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาจวบจนทุกวันนี้”

0006

จวน ทานา ดอท ผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม เล่าถึงความพร้อมในการเปิดให้บริการว่า “ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารของเรา ทั้งเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ มิกซ์โซโลจิสต์ เพสตรี้เชฟ และทีมงานทุก ๆ คนพร้อมร่วมยกระดับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของจิม ทอมป์สัน เราสร้างความแตกต่างด้วยการมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ผสมผสานรสชาติจัดจ้านแบบไทยต้นตำรับเข้ากับวิธีการปรุงอาหารแบบโมเดิร์น ทั้งยังตั้งใจให้ร้านอาหารแฟล็กชิปของเราสะท้อนคุณค่าที่จิม ทอมป์สัน ยึดมั่น ซึ่งรวมถึงการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมที่ซัพพอร์ตความยั่งยืนของชุมชน วิสัยทัศน์ในการรังสรรค์เมนูของเราจะดึงดูดทั้งลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติได้อย่างแน่นอน”

0007

เปป้ แดซี คีเมเนส หรือ เชฟเปเป้ เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟของร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน เปี่ยมด้วยทักษะและประสบการณ์การทำอาหารอันยาวนานที่ร้านระดับมิชลิน 3 ดาวและ 2 ดาวในประเทศสเปน ก่อนจะออกเดินทางไปลับคมฝีมือเพิ่มที่นอร์เวย์และออสเตรเลีย และด้วยความหลงใหลในอาหารไทย จึงเดินทางมาที่ไทยและทำงานร่วมกับเชฟชื่อดังของเมืองไทยเพื่อสร้างสรรค์รสชาติแบบไทยดั้งเดิมที่ผสมผสานเข้ากับรสมืออันจัดจ้านอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เชฟเปเป้พร้อมนำไอเดียสดใหม่และทักษะอันล้ำเลิศมาเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารที่อร่อยและแตกต่างอย่างน่าประทับใจให้ลูกค้าจิม ทอมป์สัน

0008

โซนร้านอาหารโฉมใหม่ของจิม ทอมป์สัน มุ่งเฉลิมฉลองวัฒนธรรมไทยผ่านการครีเอตประสบการณ์ไดนิ่งที่สนุกสนานด้วยการใส่ความสดใหม่เข้าไปในเมนูอาหารไทยอันเปี่ยมเรื่องราว ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินกับรสชาติแบบไทยแท้ ณ “ร้านอาหารไทย จิม ทอมป์สัน” พร้อมรีแลกซ์ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิลที่ The OSS Bar บาร์ที่ถ่ายทอดช่วงชีวิตที่สำคัญของจิม ทอมป์สัน โดยทุกๆ สเปซภายใน Jim Thompson Heritage Quarter เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Beyond Silk” ที่มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ก้าวไปไกลจากการเป็นแบรนด์ผ้าไหม พร้อมเตรียมนำคอนเซ็ปต์ดังกล่าวไปใช้กับธุรกิจในไทยและทั่วโลกของแบรนด์ การยกระดับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในครั้งนี้ อยู่ภายใต้แผนการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ของจิม ทอมป์สัน ในฐานะแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก สายไลฟ์สไตล์ สายไฟน์ไดนิ่ง สายดื่ม ที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยมต้องไปสัมผัสสุดยอดประสบการณ์ที่ Jim Thompson,  A Thai Restaurant และ Jim Thompson, A Thai Restaurant ที่  Jim Thompson Heritage Quarter  นี้ให้ได้ห้ามพลาด

Club No Sugar ตอบโจทย์เอาใจคนรักสุขภาพ พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารคีโตแบบวาไรตี้ #อร่อยเข้าถึงง่าย

ตามที่ได้ยินมาว่าตอนนี้เดี๋ยวนี้คนรักสุขภาพที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองและเลือกอาหารการกินที่เหมาะกับทั้งไลฟ์สไตล์และสุขภาพกายใจ เขากำลังอินกับเทรนด์อาหารคีโตเจนิคกันเป็นอย่างมาก นั่นเป็นเพราะหลายคนที่ลองทานดูแล้วสุขภาพดีขึ้นจริง โดยเฉพาะคนที่เผชิญหน้ากับโรคเบาหวาน ทำให้ต้องห่างจากพวกแป้งพวกน้ำตาล รวมถึงคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก พอได้มาเข้าสู่โหมดคีโตแล้วมันทั้งใช่และตอบโจทย์สุขภาพไปด้วยกัน

Club No Sugar 3

Club No Sugar 4

Club No Sugar 5

ที่น่าสนใจคือเป็นการกินไขมันในสัดส่วนที่เยอะ แต่ให้ผลในเรื่องของน้ำหนักลดเนื่องจากสัดส่วนการกินแบบคีโต คือ คาร์โบไฮเดรต 5 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน 20 เปอร์เซ็นต์ และไขมัน 75 เปอร์เซ็นต์ หลายๆ คนได้หันมาดูแลสุขภาพด้วยการเข้าสู่โหมดการกินอาหารในแนวคีโต (โดยการกินคีโตที่ถูกต้องจะมีกระบวนการในการเตรียมความพร้อมและปรับร่างกายก่อน เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่โหมดการนำไขมันมาใช้เป็นพลังงานได้อย่างถูกหลัก) ถ้าเป็นอาหารคีโตจะไม่มีส่วนผสมของแป้ง (ยกเว้นแป้งอัลมอนด์และแป้งมะพร้าว) และจะไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล แต่ใช้สารให้ความหวานธรรมชาติแทน เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นเมนูคีโต แต่คนทั่วไปก็กินได้ เพราะการตัดแป้งกับน้ำตาลออกไป ยังไงก็ดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว และต้องบอกว่ารสชาติของเมนูคีโตไม่แตกต่างจากรสชาติอาหารทั่วไป เพียงแต่ต่างตรงวัตถุดิบที่เลือกใช้

Club No Sugar 9

Club No Sugar 1

Club No Sugar 2

และเพื่อรองรับการเติบโตของคนกินอาหารแนวคีโต Club No Sugar จึงเกิดขึ้น นับเป็นร้านอาหารแนวคีโตขนาดใหญ่และครบวงจร คุณกรรณิกา สุจิวรกุล ผู้เป็นเจ้าของได้พูดถึงจุดเริ่มต้นของร้าน Club No Sugar ให้ทราบว่า “เริ่มต้นจากแนวความคิดที่อยากให้มีสถานที่ที่ชาวคีโต ได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความคิดกัน และยังเป็นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับคีโตเจนิค ไดเอ็ทอีกด้วย อยากให้เข้ามาแล้วสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสบายๆ เหมือนเป็นหลังใหญ่ที่เข้ามาแล้วรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเองเหมือนคนในครอบครัว โดยมีอาหารปรุงสด มีเบเกอรี่สดใหม่ และมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่รวบรวมเอาวัตถุดิบคีโตมาอยู่ในที่เดียวกัน Club No Sugar เป็นคลับของคนรักสุขภาพ เรียกว่าแวะมาที่ร้านจุดเดียว เรามีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และซูเปอร์มาร์เก็ตสำหรับจับจ่ายค่ะ”

Club No Sugar คุณกรรณิกา สุจิวรกุล (กรรมการผู้จัดการ)

คุณกรรณิกา สุจิวรกุล (กรรมการผู้จัดการ) Club No Sugar

Club No Sugar คุณพิพัฒน์ เรืองรองหิรัญญา (รองกรรมการผู้จัดการ)

คุณพิพัฒน์ เรืองรองหิรัญญา (รองกรรมการผู้จัดการ) Club No Sugar

สำหรับพื้นที่ภายในร้านได้มีการจัดแบ่งโซน และการจัดวางที่นั่งที่หลากหลาย โซนแรก…คือห้องอาหาร กว้างขวาง มีชั้นล่าง ชั้นลอย ติดแอร์เย็นฉ่ำ ซึ่งอาหารแนวคีโตจะแยกครัวกับอาหารทั่วไป ปรุงฝีมือโดยเชฟที่คร่ำหวอดและมีประสบการณ์ในการทำอาหาร โซนที่สอง…คาเฟ่ บรรยากาศสบายเป็นกันเอง เป็นมุมที่สร้างแรงบันดาลใจ สำหรับมานั่งใช้ความคิด นั่งทำงานชิลล์ ๆ สำหรับคอชา-กาแฟ และเครื่องดื่ม ที่มีบริการทั้งแนวคีโตและเครื่องดื่มกาแฟปกติ รวมถึงซิกเนเจอร์ที่หลายคนมาแล้วพลาดไม่ได้ คือเค้กคีโตหลากหลายรสชาติ ที่อร่อยได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วน และที่คั่นตรงกลางระหว่างสองพื้นที่ คือ โซนที่สาม…เอ้าท์ดอร์ เป็นบรรยากาศสวน สบายตาด้วยสีเขียวของต้นไม้ใหญ่ ยังมีปลาคราฟท์หลากสีนับร้อยที่แหวกว่ายอยู่ในบ่อ ทำให้พื้นที่ตรงนี้เป็นมากกว่าโต๊ะนั่งกินอาหาร แต่ยังกลายเป็นมุมพักผ่อนอีกด้วย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กๆ โซนที่สี่…คือ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับอาหารคีโต และอาหารเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะบรรดาเบเกอรี่ต่าง ๆ ที่นอกจากจะมีหลายแบรนด์แล้ว ทางร้านยังมีครัวสำหรับทำเบเกอรี่และขนมเอง โดยฝีมือเชฟเพรสทรี้ จาก เลอ กอร์ ดอง เบลอ มีขนมอบ สด ใหม่ จากครัวทุกวัน ส่วนทางด้านบนของร้านยังมีพื้นที่อีกหลายห้องสำหรับเป็นห้องจัดงานส่วนตัว จะงานเลี้ยง งานแต่ง งานสังสรรค์ งานสัมนา งานปาร์ตี้ เวิร์คช็อป ฯลฯ

Club No Sugar ไม่เพียงแต่มีเมนูอาหารคีโต แต่ยังมีเมนูอาหารไทย จีน ยุโรป ซึ่งเมนูอาหารทั่วไปก็มีให้เลือกไม่น้อยเช่นกันเรียกว่าคนกินคีโต คนไม่กินคีโต เป็นร้านที่บรรยากาศเหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะมากันเป็นครอบครัว สังสรรค์ก๊วนเพื่อน เฮฮาประสาคนรุ่นใหม่ ก็สามารถร่วมโต๊ะกันได้ด้วยความหลากหลายของอาหารที่ทางร้านมอบให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้มาเยือนทุกคนโดยสามารถสร้างโมเมนท์ความสุขร่วมกันได้อย่างลงตัว

Club No Sugar 6

Club No Sugar 8

วันนี้ทางทีมไลฟ์สไตล์ของเว็บไซด์ The Editors Society ได้มาชมบรรยากาศร้านและชิมอาหารทั้งเมนูคีโตและเมนูอาหารทั่วไป ไหนเรามาดูกันสิว่ามีเมนูอะไรบ้าง ถ่ายภาพมาฝากกันแบบรัวๆ

Club No Sugar 11

Club No Sugar 12

หอยเชลล์อบกระเทียม ทานคู่กับคีโตบัน (เมนูคีโต) 350 บาท เมนูใหม่ล่าสุด เลือกหอยเชลล์ตัวใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ มีความครบเรื่อง หอมกรุ่น เพิ่มความอร่อยยิ่งขึ่นเมื่อได้ทานคู่กับขนมปังคีโตบัน

 

Club No Sugar 15

Club No Sugar 16

ผัดไทยเส้นแก้ว (เมนูคีโต) 180 บาท น้ำผัดไทยผ่านการเคี่ยวมาอย่างดี ใส่หลากหลายส่วนผสมที่เป็นสูตรลับของทางร้าน แต่ไม่มีผงชูรส ไม่มีน้ำตาล รสหวานก็ใช้เป็นสารทดแทนความหวาน ถั่วในผัดไทยจะเป็นพวกแมคคาเดเมีย อัลมอนด์ ไม่ใช้ถั่วลิสง ส่วนเส้นแก้วก็ทำจากสาหร่าย

 

Club No Sugar 13

Club No Sugar 14

หมูกระทะ (เมนูคีโต) 380 บาท เป็นอีกหนึ่งเมนูใหม่ที่ได้รับความนิยม น้ำจิ้มที่ทานคู่กันก็จะเป็นน้ำจิ้มคีโต ไม่มีผงชูรส น้ำจิ้มผ่านการเคี่ยวปรุง ใส่เกลือชมพู

 

Club No Sugar 17

ปูม้าผัดพริกเกลือ (เมนูทั่วไป) 350 บาท ไม่มีผงชูรส ผักก็ใช้ผักสดออร์แกนิก

 

Club No Sugar 18

Club No Sugar 19

Blueberry Cheesecake (เมนูคีโต) 165 บาท ชีสเนียนนุ่ม ได้ความเปรี้ยวจากมะนาว มะนาวขูดผสมเข้าไปในเนื้อชีส ชีสเป็นชีสคีโต

Club No Sugar 21

Double Chocolate Cake (เมนูคีโต) 185 บาท แป้งที่ใช้ก็ใช้ผงอัลมอนด์ อัลมอนด์บดละเอียดทำเป็นแป้งเค้ก ให้พลังงานต่ำ เป็นเค้กช็อกโกแลตสอดใส่ด้วยครีมช็อกโกแลต ส่วนด้านบนก็เป็นอัลมอนด์นูคาติน อัลมอนด์อบเคี่ยวคาราเมลหล่อฮังก๊วย

Club No Sugar 22

Strawberry Keto Cake (เมนูคีโต) 185 บาท สตรอว์เบอรี่ที่ใช้จะนำเข้าจากต่างประเทศ เนื้อเค้กวานิลลา แยมสตรอว์เบอรี่

 

Club No Sugar 23

Club No Sugar 24

Triple Fruit Soda (เมนูทั่วไป) 80 บาท มีความเหมือนอิตาเลี่ยนโซดา น้ำไซรัปด้านล่างก็มิกซ์เองโดยใช้ผลไม้สด มีแอ๊ปเปิ้ล กีวี ส้ม มีผลไม้ทั้งหมด 3 ชนิด เหมาะกับเป็นเครื่องดื่มประจำซัมเมอร์ ให้ความสดชื่น กลิ่นหอม ตกแต่งด้วยผลไม้สด

Club No Sugar 25

Black Cocoa Caramel (เมนูคีโต) 180 บาท ไม่ใช่น้ำตาล ใช้วิปปิ้งแทนนม คีโตจะทานนมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวิปปิ้งที่ใช้จะเป็นวิปปิ้งแท้ 100% ถูกสกัดแยกน้ำตาลออกหมดแล้ว จะใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ทำหน้าที่เทียบเท่าน้ำตาล แต่ให้พลังงาน 0 แคลลอรี่ อยากได้หวานมากหรือหวานน้อยก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าได้เลย เพราะพลังงานที่ได้เป็น 0 แคลลอรี่อยู่แล้ว ไม่ไปกระตุ้นอินซูลิน ส่วนคาราเมลที่ราดด้านบนก็เป็นผงหล่อฮังก๊วย นำไปเคี่ยวให้เป็นคาราเมล ส่วนอัลมอนด์เป็นอัลมอนด์นูคาติน นำอัลมอนด์อบให้สุกกรอบมาเคี่ยวกับคาราเมลอีกครั้ง มีความหวานแบบปราศจากน้ำตาล

แล้วเดี๋ยวจะพาไปดูซูเปอร์มาร์เก็ตทางด้านบนด้วย มีของคีโตขายเพียบพร้อม กินเสร็จอยากจะซื้อของกลับไปปรุงอาหารทานที่บ้านก็ซื้อที่นี่ได้เลย #ครบจบในที่เดียว

Club No Sugar 26

Club No Sugar 27

Club No Sugar 29

Club No Sugar 28

Club No Sugar 32

Club No Sugar 31

Club No Sugar 30

 

Club No Sugar บริหารงานโดย คุณกรรณิกา สุจิวรกุล (กรรมการผู้จัดการ) คุณพิพัฒน์ เรืองรองหิรัญญา (รองกรรมการผู้จัดการ) บริการเมนูคีโต และอาหารทั่วไปไทย จีน ยุโรป รวมถึงห้องจัดเลี้ยง ตั้งอยู่ที่ถ.พระราม 3 บางโพงพาง ยานนาวา กรุงเทพฯ(เลยซอยพระราม 3 ซ. 39 มาประมาณ 200 เมตร ร้านอยู่ติดริมถนน) เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08: 30–22: 00 น. ทางร้านมีบริการ delivery โดยไลน์แมน สำรองที่นั่ง โทร.063-146-8224 คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook : club no sugar ig :clubnosugar Line@ : @clubnosugar

City Break Paris Part XXXVIII

By Pusit Sansopone

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 38

Dinner in Paris (Restaurant ตอนที่ 1)
ประสบการณ์อาหารมื้อเย็นในปารีสเมื่อ 2 ตอนที่แล้ว ผมได้แนะนำร้านอาหารในแบบ Brasserie บราสเซรี กันไปแล้ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้าง Traditional คงไว้ซึ่งจารีตประเพณีและการอนุรักษ์เก็บรักษาของดีในอดีตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านหรือรายการอาหารที่เป็นอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ มาคราวนี้อยากจะแนะนำร้านอาหารในแบบ Restaurant ซึ่งจริงๆแล้วคำว่า Restaurant นั้นก็มาจากภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง พวก Bristro, Café หรือ Brasserie มันก็เป็นแขนงหนึ่งหรือ sub-set ของ Restaurant อีกต่อหนึ่งคือทุกแบบก็เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มทั้งสิ้น แต่ในสมัยก่อนคำว่า Restaurant ในฝรั่งเศสจะหมายถึงร้านอาหารที่เป็นทางทางการที่สุดส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงแรม มีเมนูเล่มใหญ่พิมพ์อย่างดีไม่ใช่เขียนบนกระดานดำ, มี Wine List ให้เลือกเยอะจากทุกภูมิภาค ในขณะที่ Bristro อาจมีให้เลือกเฉพาะท้องที่ ในภัตราคารจะมีการจัดโต๊ะ เรียงมีดเรียงแก้วไวน์แดงขาวหรือน้ำแบบเฉพาะเจาะจง มีพนักงานเสิร์ฟแต่งเครื่องแบบดำขาว และผู้ไปใช้บริการก็ต้องมีมารยาทในการกินและการแต่งกาย คือต้อง observe พวกTable Etiquette และ Dress code แต่ยุคสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วไม่มีร้านไหนสนใจเรื่องมารยาทหรือการแต่งกายเท่าไร ขอให้เราเอาเงินไปจ่ายเยอะๆเป็นใช้ได้ การเลือก Restaurant สมัยนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะจะต้องเน้นเรื่อง Social Media ด้วย จานต้องแต่งสวยร้านต้องมีดาวมิเชลลินมันถึงจะอินเทรนด์

เรารู้กันอยู่ว่าสถาบันมิชลินมันเป็นของฝรั่งเศสและรู้จักอาหารฝรั่งเศสดีที่สุด ทำหน้าที่ตัดสินคัดเลือกอาหารฝรั่งได้อย่างเป็นที่ยอมรับแพ่รหลาย(อาหารชาติอื่นยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร) แล้วปารีสก็เป็นเมืองหลวงที่ได้ดาวมิชลินมากกว่าทุกเมืองในยุโรป คือ 100ดวง (ปี2017) โดยเป็นร้านที่ได้ 3 ดาว ถึง 10 ร้าน ไหนๆเรามาถึงปารีสกันแล้วควรหาโอกาสลองร้านอาหารฝรั่งเศสติดดาวสักมื้อก็ไม่เลวนะครับ

ผมก็เลยจะขอแนะนำร้านอาหารติดดาวมิชลินในปารีสแบบ 2 ตอนจบ โดยตอนแรกจะเป็นร้านติดดาว (1-2 ดวง) ที่เราสามารถไปกินได้โดยกระเป๋าไม่ฉีก คือมีราคาสมเหตุผลไม่ต่างกับร้านทั่วไปมากนัก ส่วนตอนที่2 ผมจะแนะนำร้านที่สำหรับผู้ที่ไม่เกี่ยงราคาถ้าดีจริง ก็เลยจะแนะนำเฉพาะร้านที่ได้มิชลิน 3 ดาวในปารีสทั้ง 10 ร้าน
ที่มาของ มิชลินสตาร์เป็นอย่างไร คงไม่พูดถึงแล้วนะครับเพราะน่าจะเคยเขียนถึงไปแล้ว

 

ร้านอาหารติดดาว 8 ร้านในปารีสที่เราสามารถไปกินมื้อเย็นได้ในงบประมาณที่เหมาะสม

1.ร้าน LES FABLES DE LA FONTAINE เล ฟ๊าฟบ์ เดอลา ฟองตานน์
ร้านอาหาร, อาหารทะเล, ฝรั่งเศส, เมดิเตอเรเนียน, $$$

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 12

เชฟ David Bottreau ได้รับโอนร้าน Les Fables de la Fontaine มาจากเชฟ Christian Constant ในปี 2548 แล้ว Bottreau ก็ได้นำเชฟสาวดาวรุ่งที่ชื่อ Juliet Sedefdjian มาเป็นหัวหน้าพ่อครัว โดยมีสถาปนิกคือ Luis Aleluia รับผิดชอบออกแบบตกแต่งสถานที่แห่งนี้ให้เรียบง่ายจากวัสดุธรรมชาติเช่นไม้ หินและเหล็กดัด
แล้วก็ตั้งใจเน้นเป็นรายการอาหารทะเลจากทางใต้ (French Riviera) ที่นำเสนอจานคลาสสิกในรูปแบบใหม่ โดยราคานั้นไม่ต่างกับร้านอาหารทั่วๆไปในปารีส คือ เมนูอาหารชุดกลางวันในวันธรรมดาเริ่มต้นจาก 28 ยูโร ส่วนมื้อเย็นจะเป็นเมนูที่น่าตื่นเต้นมากขึ้นใช้ชื่อว่าเมนู Carte Blanche ราคาเริ่มต้นที่ 75 ยูโรคุ้มมากๆ

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 16

จานปลาที่ Les Fables de la Fontaine

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 18

จานเรียกน้ำย่อยหรือ ENTRÉES ที่ Les Fables de la Fontaine

 

2.Septime เซปติมม์
ร้านอาหารร่วมสมัย, ฝรั่งเศส, $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 25

Septime เป็นร้านอาหารที่น่าสนใจบนถนน Rue de Charonne ดังนั้นการได้รับยืนยันการจองโต๊ะที่นี่สำหรับมื้อเย็นถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่มันเป็นความพยายามที่คุ้มค่าสำหรับประสบการณ์ที่ได้มากินที่นี่แน่นอน อาหารสมัยใหม่สดทันสมัยและนำเสนอได้ดี มีแต่รายการ Tasting Menu 4 steps หรือ 7 steps คือเหมือนเราไม่มีสิทธ์เลือก มันขึ้นอยู่กับเชฟที่นำเสนอและคัดเลือกรายการอาหารที่เหมาะกับวันนั้นเป็นแบบอาหารญี่ปุ่นสไตล์ โอมากาเสะ Omakase อาหารจานพิเศษของที่นี่คือประกอบด้วย raw venison with tarragon เนื้อกวางดิบกับใบเทอรากอน และ Kalamata olives, whiting with endives and orange butter,ปลาทรายแก้วกับมะกอกคาลามาต้า และผักชิโคริกับซอสเนยส้มส่วนของหวานก็พายมะตูมป่น quince and verbena crumble

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 2

Paris Cray ที่ Septime
City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 26

อาหารจานปลาที่ Septime

 

3. BENOIT เบนัวต์
ร้านสไตล์ Bistro, French, $$$

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 11

บิสโทรแท้ๆอายุกว่า100ปี ที่เชฟระดับโลก Alain Ducasse ได้มาเป็นเจ้าของ

มีประวัติมากมายที่ Benoit เพราะเป็นร้านเก่าแก่เปิดให้บริการมากว่า100 ปีแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2455 ถือเป็นร้านอาหารบิสโทรแบบคลาสสิกเพียงแห่งเดียวของกรุงปารีสที่ได้ดาว Michelin ครอบครัวตระกูล Petit เป็นเจ้าของมา 93 ปีแล้วจึงส่งต่อไปยังทีมงาน Alain Ducasse เชฟระดับโลกที่ได้ดาวเยอะแยะ ตั้งแต่ในปี 2005 บรรยากาศที่นี่อบอุ่นเสมอจากการตกแต่งภายในด้วยกำมะหยี่สีแดงกับขอบทองเหลืองเงาวับ สลับกับกระจกแกะสลักและคอลัมน์หินอ่อน เชฟ Alain Ducasse ตั้งใจที่จะนำเสนอจานคลาสสิกของอาหารฝรั่งเศสทั้งหมด ให้ท่านสามารถสั่งได้ที่นี่ เพราะเดี๋ยวนี้เชฟส่วนใหญ่ไปเน้นจานfusionกันหมด มาที่นี่เพื่อการดูมีรสนิยมในการเลือกร้าน ถ้าต้องการประหยัดก็ให้ลองเมนูอาหารกลางวัน 39 ยูโรที่ การันตีในรสชาติมีการปรุงอย่างรอบคอบ ต้องถือว่าข้อเสนอที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 8

จานเรียกน้ำย่อยที่เบนัวต์

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 6

จานปลาที่เบนัวต์

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 9

จานหลัก สเต็กกับเห็ดตามฤดู

 

4.LA TABLE D’EUGÈNE ลาต๊าบล์ดูจีนน์
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 21

ความสมดุลของจารีตประเพณีกับความทันสมัยที่ La Table d’Eugène ได้รับการยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยChefชื่อ Geoffroy Maillard และ sous-chef François Vaudeschamps ทั้ง 2 ร่วมกันสร้างเมนูอาหารที่ซับซ้อน อีกทั้งมีการอัพเดทเมนูทุกสิบวันให้เป็นเมนูตามฤดูกาลโดยแท้ ที่นี่เน้นวัตถุดิบที่เป็นผักสมุนไพรและเนื้อสัตว์จากเครือข่ายผู้ผลิตรายย่อยไม่ใช่สั่งจากsupplierเจ้าใหญ่ เชฟที่นี่ อ้างว่า “การทำอาหารที่นี่ใช้จินตนาการมากกว่าสูตร” ให้ลองสั่งTasting Menu แบบเมนูชิมห้าคอร์ส ในราคา 89 ยูโร หรือถ้าเลือกที่แปดคอร์สไหว ก็ 120 ยูโร จัดไปครับ

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 14

อาหารและการตกแต่งจานที่ La Table d’Eugène

 

5.LA TABLE DU 11 ลาต๊าบลืดูอ๊งซ์

ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 17

La Table du 11 ซึ่งเป็นร้านอาหารที่พ่อครัวและคนกินมีความใกล้ชิดกัน เพราะที่นี่จัดห้องที่มีครัวแบบเปิดในบรรยากาศสบายๆ มีหัวหน้าพ่อครัวและเจ้าของคือ Jean-Baptiste Lavergne-Morazzani ได้รับรางวัล ดาวมิชลิน จากประสบการณ์อันยาวนานกว่าทศวรรษที่ทำงานภายใต้เชฟกอร์ดอนแรมเซย์ที่ร้าน Trianon Yannick Allénoที่โรงแรม Le Meurice และกับเชฟ Philippe Bélissent ที่Cobéa Lavergne-Morazzani เชฟได้มาเปิดกิจการที่เป็นอิสระเป็นเจ้าของด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกซึ่งมีทำเลอยู่ที่เมืองแวร์ซายย์ หากท่านมีโปรแกรมไปเที่ยวชมพระราชวังแวร์ซายอยู่แล้วห้ามพลาดการได้ไปลองชิมฝีมือเชฟ Jean-Baptiste

 

6.LA TRUFFIÈRE ลาทรูฟแฟร์

ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 15

La Truffière เพิ่งต้อนรับหัวหน้าพ่อครัวคนใหม่ Christophe Poard ไม่นานนี้ ก่อนที่เขาจะมาปารีสเขาเคยทำงานในห้องครัวที่มีชื่อเสียงของ Casino de Deauville ซึ่งเป็นร้านอาหาร Schwarzwald stube ที่มีดาวสามดาวในเมือง Antwerp ในประเทศเบลเยี่ยม และก่อนหน้านั้นที่ Château d’Hassonville เมือง Carlsbad Plaza สาธารณรัฐเช็ก นับตั้งแต่การมาถึงของเขาที่ La Truffière

เขาได้ทำsignature menu ของเขาเพิ่มชื่อเสียงเพิ่มให้กับร้านนี้ เหมาะมากสำหรับคนรักอาหารทะเล และจานชีส signature menu สามคอร์สของร้านนี้สามารถลิ้มลองได้เพียง 40 ยูโร ในมื้อกลางวัน

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 1

ภายในร้าน La Truffière

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 10

จานปลาที่ La Truffière

 

7.SATURNE ซัตตูเอิน
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 13

เชฟคู่หูที่อยู่เบื้องหลัง Saturne,ก็คือเชฟ Sven Chartier และเชฟ Ewen Le Moigne ดูมีความเรียบง่ายแต่มีคุณภาพเหนือที่ไหนๆ ผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาใช้เป็นของตกแต่งทั้งหมดดูดีมีรสนิยมและมีเอกลักษณ์ยิ่งถ้าได้เห็นตัวเมนูของพวกเขาซึ่งสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ดีที่สุดในสิ่งที่นำเสนอของวันนั้นๆ ร้านอาหารเป็นที่นิยมมากของกลุ่มนักธุรกิจ เมนูอาหารกลางวันแบบสามคอร์สที่ราคาอยู่ที่ 45 ยูโรถือว่ายอดเยี่ยมและต้องลองเมนูอาหารกลางวันแบบ Carte Blanche ในราคา 85 ยูโร หรือถ้าเราเน้นมื้ออาหารค่ำงบประมาณก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 4

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 5

บรรยากาศภายในร้านที่เรียบง่าย

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 24

ด้านหน้าร้านอาหาร Saturne, ปารีส

 

8.Garance การองซ์
ร้านอาหารฝรั่งเศส $ $ $

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 20

Garanc เป็นของเชฟใหญ่ Guillaume Iskandar และ sommelier ผู้รู้ผู้กำกับซื้อเข้าดูแลและแนะนำไวน์ ชื่อGuillaume Muller ซึ่งเคยทำงานร่วมกับceleb chefคือ Alain Passard ที่ร้านอาหาร l’Arpège ซึ่งเป็นร้านมิเชลลินสามดาวของเขาได้ตัดสินใจมาเปิดร้านGaranc แห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Les Invalides พวกเขาได้ร่วมกันสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เบ็ดเสร็จในเรื่องการออกแบบและรสชาติที่ต้องจดจำเมนูอาหารกลางวันที่นี่เริ่มต้นเพียง 42 ยูโรส่วนมื้อเย็นก็เพิ่มขึ้นไม่มาก

City Break in Paris Restaurant 1 Michelin Star 7

คุณภาพอาหารที่สัมผัสได้

 

เจอกันคราวหน้าจะเป็นตอนจบของ City Break Paris จะปิดท้ายด้วย การแนะนำสุดยอดร้านอาหารฝรั่งเศสในปารีสที่ได้ดาวมิชลิน 3 ดวงซึ่งทั้งหมดมี 10 ร้านด้วยกัน เข้าconcept “ไปทั้งทีต้องมีซักมื้อ” ชื่อจั่วหัวBlogใหม่ในเร็วๆนี้ของผม ที่สามารถใช้เป็นคู่มือการไปกินร้านอาหารในต่างประเทศแบบรู้จริง ไม่ใช่แนะนำแต่ชื่อร้านแล้วไม่รู้จะสั่งอะไร จองอย่างไร งบประมาณเท่าไรต่อมื้อ

ชั่วโมงชิลล์กับเพื่อน อร่อยกับอาหารแบบวาไรตี้ ปาร์ตี้ให้สุดที่ Roots Bangkok

เวลาที่เราคิดจะพบปะสังสรรค์ คือไม่ว่าจะเพื่อนกลุ่มเล็กๆ เข้าขั้นสนิทสุด หรือนัดกันมาเยอะๆ แนวเพื่อนที่ทำงาน นั่นหมายความว่าทุกคนต้องการพื้นที่ที่สามารถปล่อยอารมณ์ ความสนุกสนาน และอยากอยู่ในบรรยากาศรอบตัวที่ผ่อนคลาย สบายใจ

Roots Bangkok 5

Roots Bangkok 4

ที่นี้เราเองก็ช่างค้นช่างหาจนกระทั่งได้รู้มาว่ามีร้านนี้ไงที่ตอบโจทย์ Roots Bangkok อยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพ อาหารของที่นี่จะเป็นแบบฟิวชั่นร่วมสมัย มีให้เลือกแบบอลังการมาก ถ้านึกอยากจะกินอะไรขึ้นมาก็ได้ทั้งนั้น พิกัดร้านอยู่ในโครงการ K Village สุขุมวิท 26 บรรยากาศสงบร่มรื่นพร้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ที่อยู่รายล้อมรอบตัว คิดตามนะคะ คือได้มาชิมทั้งอาหารมื้อพิเศษ บาร์บีคิวหอมกรุ่นร้อน ตามด้วยจิบเบียร์เย็นฉ่ำในสวนที่คึกคัก

Roots Bangkok 3

Roots Bangkok 2

และวันนี้เราได้รับเชิญจาก Roots Bangkok ให้มานั่งชิลล์ กินของอร่อย และดื่มค็อกเทลสูตรพิเศษ ระหว่างรอเวลาที่อาหารกำลังปรุงรสโดยเชฟยอดฝีมือ เราขอไปนั่งคุยกับ คุณธัญญ่า-ธณัฐฐา ดีเกตุ เธอเป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติงาน “จริงๆ แล้วญ่าเรียน Business แต่ที่เลือกสาขา Hospitality เพราะชอบการบริการแบบโรงแรม โดยเฉพาะงานส่วนหน้า เพราะมีความใฝ่ฝันคืออยากเป็นเจ้าของโรงแรม” คุณธัญญ่าเล่าย้อนกลับไปซึ่งตอนที่คุณญ่าทำงานอยู่ที่ The Langham ช่วงปีสุดท้ายก่อนกลับประเทศไทยก็ได้มีโอกาสไปทำร้านอาหารไทยที่ New Zealand ในตำแหน่ง Operation Manager เช่นกัน คุณธัญญ่าจึงรู้ดีว่าการทำร้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าทางครอบครัวอยากให้คุณธัญญ่ามาช่วยงานเป็น Operation Manager ที่ Roots Bangkok

Roots Bangkok 1

คุณธัญญ่า-ธณัฐฐา ดีเกตุ 

“อยากให้ Roots มีพื้นที่ในใจของทุกคน ที่ทุกคนอยากขับรถเพื่อมารับประทานอาหารกับ Roots อยากมาสนุกกับเรา ลิ้มลองประสบการณ์ที่แปลกใหม่” คุณธัญญ่ากล่าว ตอนนี้ Roots กำลังมองหาโอกาสในการเปิดสาขาเพิ่ม โดยอยากเน้นไปที่อาหารมังสวิรัติโดยเฉพาะ เพราะเทรนด์ตอนนี้กำลังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ เราทุ่มเทกับ Roots ไปแล้ว ญ่าก็อยากทำตรงนี้ให้มันดีที่สุด” คุณธัญญ่ากล่าวทิ้งท้ายเป็นการแสดงถึงความรักที่มีต่อ Roots ได้เป็นอย่างดี

ได้เวลาอาหารอร่อยๆ ออกมาพอดีเลยค่ะ อาหารหน้าตาดีทีเดียว เดี๋ยวมาทยอยชิมทีละเมนูกันไป และไม่ลืมนะคะว่าต้องขอลองค็อกเทลของที่นี่ด้วย เริ่มค่ะ!

Roots Bangkok 12

Jerk Chicken ราคา 320 บาท
ซอสหมักไก่ก็คือ Jerk Sauce พริกเองก็เป็นพริกนำเข้าทั้งจากปานามา ฟลอริด้า เครื่องปรุงก็จะเป็นเฮิร์บซะส่วนใหญ่ ทำให้ดีต่อร่างกายด้วย กระวาน ยี่หร่า อบเชย มีกลิ่นหอม หมักทิ้งไว้ประมาณชั่วโมงแล้วเอาไปย่าง ให้ซอสเข้าไปในเนื้อไก่ ส่วนข้าวผัดถั่วแดงก็จะเป็นสไตล์จาไมก้า ผัดรวมกับขิง หอม กระเทียม ใส่กะทิด้วย พอได้กลิ่นคู่กับไก่ที่หมัก Jerk Sauce ออกเผ็ดๆ หน่อย ก็จะกลมกล่อมลงตัวเข้ากัน

Roots Bangkok 23

Grilled Salmon with Dill Sauce ราคา 380 บาท
แซลมอนนอร์เวย์เนื้อแน่น นุ่มมัน สีสวย นำเข้ามาทั้งตัวแล้วมาสไลด์ทำเป็นแต่ละเมนู แซลมอนจานนี้จะผ่านการอบการย่างด้วยไฟกลางๆ ให้สีสวย เนื้อมีความสุกกำลังกินอร่อย เสิร์ฟคู่กับ Dill Sauce ที่มีส่วนผสมของผักชีลาว

Roots Bangkok 18

Chicken Wings BBQ Peri Peri ราคา 220 บาท
ปีกไก่ที่หมักด้วยซอสสีแดง Peri Peri Sauce เป็นอาหารสไตล์แอฟริกาใต้ หมักเนื้อไก่ประมาณชั่วโมงแล้วนำไปย่างบนเตาถ่านไฟเบาๆ เสิร์ฟคู่กับพริกหยวกย่าง มะเขือย่าง มีชีสซอสสูตรพิเศษไว้จิ้มเพิ่มรสชาติให้อร่อยแล้วอร่อยอีก

Roots Bangkok 20

Australian Lamb Burger ราคา 360 บาท
จะมีการหมักเครื่องเข้าเนื้อแกะไปเลย มีหอม กระเทียม โรสแมรี่ ไทม์ แล้วเอาเนื้อแกะไปย่างบนเตาถ่าน จะทำให้มีความหอมกว่าเบอร์เกอร์ทั่วๆ ไป ซึ่งวิธีการปรุงแบบนี้จะร้อนกรุ่นจากด้านใน เนื้อขนมปังมีความนุ่มน่ากิน หอมสุกอย่างทั่วถึงกัน

Roots Bangkok 6

Roots Bangkok 24

Wood-Fired Pizza Parma Ham & Rocket ราคา 340 บาท
ความพิเศษก็คือแป้งจะทำสด ถาดต่อถาดต่อวันด้วย การอบการทำที่ต่อที่ ใช้เตาฟื้นไม้ยูคาลิปตัส ใช้พามาแฮมเกรดพรีเมี่ยมนำเข้า ผสมผสานกับมอซซาเรลลาชีส ใช้เตาพิซซ่าแบบดั้งเดิมจะทำให้พิซซ่าอร่อยเข้าถึงรสชาติ

Roots Bangkok 11

Chocolate Martini ราคา 260 บาท
ดูสีสันแล้วมีอารมณ์ความเป็นช็อกโกแลตในตัวเอง เหมือนว่าจะเคร่งขรึมแต่ไม่ เพราะว่าในค็อกเทลยังมีเชอร์รี่ให้ด้วย เป็นซิกเนเจอร์ดริ๊งค์ของ Roots Bangkok

Roots Bangkok 10

Roots Slipper ราคา 260 บาท
หลักๆ ก็คือจะเป็นเหล้าที่สกัดมาจากเมล่อนกับส้มมาผสมกัน ที่เห็นเป็นฟองโฟมเพราะมีการใช้ไข่ขาว จะไม่มีกลิ่นคาว รสชาติจะเปรี้ยวๆ หวานๆ เป็นซิกเนเจอร์ดริ๊งค์ของ Roots Bangkok

#ได้มาแล้วก็ต้องแนะนำโปรโมชั่นพิเศษให้ทุกคน

1. BAR BUFFET The offer is available any hour of the day during Roots’ business hours from Monday – Saturday.
1.5 Hours – 900++ Baht per person
3 Hours – 1,590++ Baht per person

Drink List:
– Vodka • Gin • Rum • Whiskey w/ Mixers
– Heineken Full Pint
– Red Wine • White Wine

Bar Buffet ที่ให้ทุกคนได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศและเครื่องดื่มหลากหลายได้ที่ Roots ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ไม่ว่าจะมาตอนไหนก็เริ่มโปรโมชั่นได้ตอนนั้นเลย
1.5 ชั่วโมง ในราคา 900++ บาท ต่อคน
3 ชั่วโมง ในราคา 1,590++ บาท ต่อคน

Drink List:
– Vodka • Gin • Rum • Whiskey w/ Mixers
– Heineken Full Pint
– Red Wine • White Wine

2. Wine Promotion Wine Promotion 30% Off Now at Roots. (On selected bottles only) โปรโมชั่นไวน์ ลด 30% เริ่มแล้ววันนี้ที่ Roots (เฉพาะไวน์รุ่นที่กำหนดเท่านั้น)

3. TGIF! at Roots with Happy Hours coming right up. Buy 2 for the price of 1: Local Beers & Cocktails from 4pm – 7pm. หรรษากันได้ทุกวันศุกร์กับโปรโมชั่นซื้อ 2 จ่าย 1 Local Beers และค็อกเทล ในช่วงเวลา Happy Hours ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นถึง 1 ทุ่มที่ Roots

4. Soul Sisters! All ladies dining at Roots on Wednesday will receive 4 FREE drinks each upon ordering food พิเศษสำหรับผู้หญิงทุกคนที่มาวันพุธ เมื่อทานอาหารที่ Roots จะได้รับไวน์ฟรี 4 แก้ว

Roots Bangkok
สถานที่ตั้ง: B-107, โครงการเค-วิลเลจ ถนนสุขุมวิท 26 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: วันจันทร์-วันศุกร์ 15.00-01.00 น.
วันเสาร์ 11.30-01.00 น.
วันอาทิตย์ 11.30-00.00 น.
เบอร์โทรศัพท์: 02 661 5227
เว็บไซต์: www.rootsbangkok.com
เฟสบุ๊ค: www.facebook.com/rootsbangkok
อินสตาแกรม: Rootsbangkok
ไลน์แอด: @rootsbangkok