Beaujolais – ไวน์ดีที่คนมองข้าม

Beaujolais ไวน์ที่หลายๆคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคย หรือถ้ารู้จักก็มักมองข้าม อาจจะด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเป็นไวน์ฟรุ๊ตตี้ๆ เบาๆ เลยมักไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มไวน์ที่ออกแนวซีเรียสนิดนึง แต่จริงๆแล้ว Beaujolais มีอะไรมากกว่านั้น

 

beaujolais

how-to-drink-beaujolais-5

Beaujolais เป็นเขตผลิตไวน์ที่อยู่ทางใต้ของแคว้นเบอร์กันดีอันเลื่องชื่อ ผลิตไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์ Gamay ซึ่งเป็นองุ่นที่เมื่อทำเป็นไวน์แล้วจะมีรสชาติและกลิ่นของผลไม้แดงจำพวก เบอร์รี่ เชอรี่และสตรอเบอรี่ และด้วยความที่ไวน์มักมีแทนนินค่อนข้างต่ำ จึงเป็นไวน์ที่ดื่มง่ายไม่ต้องเก็บนาน ไวน์ Beaujolais มีสามระดับ ไล่ไปตั้งแต่ระดับล่างสุด หรือ Beaujolais AOC ทั่วๆไป ไวน์ระดับนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมาก เบาๆ ดื่มง่ายๆ ออกเปรี้ยวนำ ถัดมาดีขึ้นมาหน่อยจะเป็น Beaujolais Villages ซึ่งไวน์ระดับนี้จะมีความเข้มขึ้นมาทั้งสีและรสชาติ ส่วนระดับสูงสุดซึ่งเป็นระดับของไวน์ที่จะแนะนำในวันนี้เรียกว่าระดับ Beaujolais Crus ซึ่งมีทั้งหมด 10 Crus ( ไร่องุ่น) โดยไวน์ระดับนี้ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความฟรุตตี้อยู่แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความซับซ้อน เข้มข้น หรูหรา โดย Beaujolais Cru นี้ บางตัวสามารถเก็บได้นานถึง 10 ปี และเมื่อถึงวันนั้นบางตัวยังอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับไวน์เบอร์กันดีพี่ใหญ่ทางตอนเหนือเลยทีเดียว (แต่ราคาสบายกระเป๋ากว่ามาก)

 

chateau-de-la-chaize

how-to-drink-beaujolais-2

ไวน์ที่อยากแนะนำวันนี้เป็นไวน์ Beaujolais ของ Chateau de La Chaize ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุด เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของดินแดนนี้ โดยมาจาก Cru ที่ชื่อ Brouilly โดยเป็น Cru ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นหนึ่งใน Cru ที่มีชื่อเสียงของ Beaujolaisไวน์สีแดงเข้มตัวนี้มีกลิ่นหอมของแยมสตรอเบอรี่ แครนเบอรี่ และเชอรี่ อันเป็นเอกลักษณ์ รสชาติมีความนุ่มละมุน กลมกล่อม ไม่เปรี้ยวเกินไป และแทนนินกำลังดีไม่น้อยจนไร้น้ำหนัก นับว่าเป็น Beaujolais ที่มีความสง่างามไม่ใช่เล่นๆ

 

how-to-drink-beaujolais-7

how-to-drink-beaujolais-3

ส่วนใหญ่แล้วคนมักนิยมทาน Beaujolais กับอาหารง่ายๆ เช่นกับพวกชีส และ Cold Cuts ต่างๆ ทั้งปาเต้ และเทอรีน แต่เนื่องจาก Chateau de La Chaize ตัวนี้ค่อนข้างออกแนวซีเรียสจึงสามารถทานได้กับไก่ หมู เป็ด หรือจะเป็นเนื้อวัวย่างเบาๆ ก็ยังได้ และที่สำคัญ Beaujolais เป็นไวน์แดงเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถทานแบบแช่เย็นเล็กน้อยได้ จึงน่าจะเหมาะกับอากาศบ้านเราเป็นที่สุด

 

หาซื้อ Chateau de La Chaize ได้ที่ www.passiondelivery.com 

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8

ลไมย์ – รัมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

รัม เครื่องดื่มนี้มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศแถบแคริบเบียนที่มีประวัติอันยาวนานน่าสนใจ แฝงไปกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่านั้น  แต่ละประเทศไม่ว่าจะเป็นจาไมก้า คิวบา มาร์ตินิก เฮติ เวเนซูเอล่า และอื่นๆ อีกในระแวกนั้น ต่างก็ล้วนแต่มีวัฒนธรรมการผลิตและดื่มรัมทั้งสิ้น เมื่อเราดื่มรัมก็เหมือนเรากำลังดื่มชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศนั้นๆ

 

recommend-rum-by-beverage-expert-4

รัมมีทั้งแบบดาร์ครัมและไวท์รัม  ดาร์ครัมก็คือรัมที่ผ่านการบ่มในถังไม้โอ๊คและ/หรือผ่านการแต่งสีด้วยคาราเมล รัมประเภทนี้นิยมนำมาดื่มเพียวๆ หรือผสมน้ำเพื่อให้ปรุงแต่งน้อยที่สุด เพราะกลิ่นและรสชาติจะออกเข้มข้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้ว สำหรับคนไทยเราน่าจะคุ้นเคยกับไวท์รัมกันมากกว่า รัมประเภทนี้มักไม่เคยผ่านการบ่มในไม้จึงมีสีขาวใสรสชาติอ่อน นิยมนำรัมประเภทนี้มาทำค็อกเทล นอกจากนี้ก็มีโกลเด้นรัม กับสไปซ์รัมที่บ้านเราอาจไม่ได้เห็นบ่อยนัก

 

recommend-rum-by-beverage-expert-1

recommend-rum-by-beverage-expert-2

อย่างที่กล่าวไปเนื่องจากรัมมักมีถิ่นกำเนิดจากประเทศติดทะเล เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ที่ค็อกเทลที่มีรัมเป็นส่วนประกอบมักเป็นค็อกเทลที่เหมาะสำหรับดื่มในเวลาเราไปเที่ยวทะเล หรือเมื่ออยู่ริมสระว่ายน้ำ หรือในวันอากาศร้อนๆ เพราะคนมักนำรัมไปผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆให้หอมหวานชื่นใจ เช่น โมฮิโต้ ค็อกเทลยอดนิยมตลอดกาลที่นำไวท์รัมผสมกับน้ำตาลทราย น้ำมะนาว โซดาและสะระแหน่ หรือจะเป็่น Daiquiri ค็อกเทลสุดคลาสสิคอันเป็นค็อกเทลโปรดของ Ernest Hemmingway ซึ่งก็เป็นรัมผสมกับน้ำมะนาวและน้ำเชื่อม และสามารถเพิ่มรสชาติหลากหลายลงไป เช่น สตรอเบอรี่ไดคีรี่ แถมจะนำไปปั่นจนเย็นเจี๊ยบก็สามารถทำได้

รัมจะเป็นรัมไม่ได้ถ้าไม่มีอ้อย จริงๆ แล้วผู้ผลิตมักใช้กากน้ำตาลอ้อยในการผลิตรัมแต่ก็มีหลายประเทศที่ใช้น้ำอ้อยสด (บางที่เรียกรัมชนิดนี้ว่า Rhum Agricole) ซึ่งผลที่ได้ก็จะมีความต่างกันอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นประเทศใดก็ตามที่ปลูกอ้อยประเทศนั้นก็สามารถผลิตรัมได้ รวมทั้งประเทศไทย วันนี้ขอแนะนำรัมไทยยี่ห้อเก๋ชื่อ ลไมย์ (Lamai Thai Rum)

 

recommend-rum-by-beverage-expert-3

recommend-rum-by-beverage-expert-5

ลไมย์เป็นรัมที่ผลิตจากน้ำอ้อยที่ผ่านการสกัดเย็น เพื่อให้ได้รสชาติอันบริสุทธิ์ก่อนจะนำไปหมักและกลั่นเพื่อให้ได้รัมที่มีกลิ่นหอมรสชาตินุ่มละมุนปากสมชื่อจริงๆ เป็นรัมที่มีกลิ่นหอมสะอาดๆ ของหญ้าตัดใหม่ และต้นอ้อยสด กลิ่นจางๆ ของแอปเปิ้ลเขียว ลไมย์ไทยรัมบรรจุมาในขวดเซรามิคจากลำปางจึงถือได้ว่าเป็นการใช้ภูมิปัญญาของคนไทยตั้งแต่ต้นจนจบ ดีแท้ไม่ต้องง้อเหล้าต่างชาติให้เสียดุลการค้า  อีกทั้งยังมีภาพลักษณ์สุดเก๋จึงไม่แปลกที่บาร์ส่วนใหญ่จึงนิยมมีลไมย์ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าเวลาดื่มค็อกเทล

 

หาซื้อลไมย์ได้ที่  www.passiondelivery.com

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7

Holiday Challenge! Roasted Turkey (Short cut)

ถ้ามีงานเลี้ยงที่บ้านในช่วงวันหยุด Thanksgiving และคริสมาสต์ ยกไก่งวงจานนี้ออกมา รับรองทุกคนจะต้องร้องว้าว!

 

holiday-challenge-roasted-turkey-2

 

ปีนี้รู้สึกโชคดี ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ มีที่ให้สั่งซื้อ ราคาถูกกว่าที่เคยซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตดังๆ หลายเท่า แถมรสชาติดีด้วย อบเสร็จแล้วเนื้อไม่แห้งค่ะ

คราวนี้สั่งที่ http://www.passiondelivery.com/products/whole-turkey-oven-roasted-6kg-approx-code-here  เป็นแบบที่อบมาแล้ว เขาแช่แข็งมา เราแค่มาเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา สัก 2 คืน แล้ววันงานก็เอามาอุ่นในเตาอบ ใช้ไฟ 160-170 °C (มีพัดลม) เรื่องความร้อนนี้ ต้องคอยสังเกตเอาเองนะคะ เพราะเตาแต่ละบ้านให้ความร้อนไม่เท่ากัน เวลาก็เช่นกันค่ะ วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้คอยสังเกตเอา จะมีไกด์ไลน์ให้บ้างก็เช่นว่า ตัวที่อบในรูปนี้ น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 4.5 กิโล อุ่นไฟอ่อนๆ ตามที่บอก ไปราวๆ 45-50 นาทีค่ะ

เคล็ดลับที่จะให้ไก่ออกมาผิวสวยขนาดนี้ เริ่มตั้งแต่

-เอาน้ำมัน (เราใช้น้ำมันเจียวจากมันไก่) หรือจะใช้ Clarified Butter ทาให้ทั่วตัวไก่เสียก่อน แล้วใช้เบคอนปิดบริเวณส่วนหน้าอก ส่วนบนสุดของน่อง (ปลายปีกให้ใช้กระดาษฟอยด์หุ้มไว้)

-หั่นแครอท หอมใหญ่ เซเลอรี่ เป็นชิ้นใหญ่ๆ คลุกกับน้ำมัน วางเรียงไว้ก้นถาด เติมน้ำสต๊อกไก่ หรือน้ำเปล่าเพียงเล็กน้อยแค่ไม่ให้ผักและน้ำที่ไหลจากไก่มาติดไหม้ก้นถาด จากนั้นควรเช็คไก่ ทุกๆ 15 หรือ 20 นาที โดยเอาน้ำจากในถาดผสมกับน้ำมัน หรือเนยที่ทำไว้ คอยราด หรือ ทาที่ผิวไก่ ขณะที่เราเอาไก่ออกมาราดน้ำผสมน้ำมัน เราก็คอยสังเกตว่าข้างในของตัวไก่ร้อนขึ้นดีตามที่ต้องการหรือยัง ที่บ้านใช้เทอร์โมมิเตอร์ สำหรับเช็คอาหาร จิ้มไปที่ส่วนที่หนาที่สุด เช่น หน้าอก ขาพับสะโพก ดูว่าอุณหภูมิประมาณ 55-60˚C ขึ้นไปก็ได้แล้วค่ะ (จริงๆ เนื้อไก่เวลาวัดว่าสุกหรือยัง ต้องให้เกิน 70-75°C แต่ในที่นี้ ถือว่าไก่สุกมาแล้ว ถ้าอบนานไป เนื้อจะแห้งค่ะ) เมื่อไก่ร้อนได้ที่ตามต้องการแล้ว ให้เอาเบคอน และฟอยด์ ออก อบต่อสัก 10 นาที พอให้ผิวได้สีสวย แล้วให้เอามาพักบนตะแกรงสักครู่ก่อนเสิร์ฟ โดยคลุมกระดาษฟอยด์ไว้หลวมๆ ด้านบน

 

holiday-challenge-roasted-turkey-3

ระหว่างนี้ก็ไปเตรียมอุ่นเกรวี่กับไส้ที่ทานกับไก่งวงที่เราทำไว้ล่วงหน้าแล้วพลางๆ  น้ำมันที่ได้จากการอบไก่ ให้เทใส่ถ้วยเก็บไว้ ก่อนเสิร์ฟ อาจราดบนตัวไก่อีกครั้ง เพื่อให้เป็นเงาสวยงาม เบคอน เอาออกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมรวมไปกับไส้ที่เตรียมไว้ ผักที่อบจนนุ่มแล้ว เติมลงไปในหม้อเกรวี่ (ยกเว้นฟักทอง ที่จะมาหั่นเรียงในจาน เพื่อเสิร์ฟไปพร้อมๆกับไก่)

ทีนี้เหลือแต่ถาดอบมีเศษเกรียมๆ ติดอยู่ ให้เอาไปตั้งบนเตาแก๊ส เติมเนยเล็กน้อย โรยแป้งสาลีลงไป ราวๆ 1 ช้อนโต๊ะ ผัดสักครู่ให้แป้งสุก แล้วเติมไวน์แดง หรือน้ำสต๊อกไก่ พยายามขูดเอาส่วนที่เกรียมๆ ติดกระทะ ออกมาให้หมด ตั้งให้เดือดอีกครั้ง แล้วเทกลับไปรวมกับเกรวี่ ตั้งไฟกลางไปสักครู่ ชิมรสครั้งสุดท้าย แล้วจึงกรองน้ำเกรวี่เพื่อเสิร์ฟค่ะ

Gravy for Turkey ( เตรียมไว้ล่วงหน้าได้เป็นอาทิตย์)

-โครงไก่ 1 ตัว สับเป็นขิ้นเล็กๆ (ดึงหนัง และมัน ออกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เจียวเอาน้ำมันเก็บไว้)

-หอมใหญ่ 1 หัว (สับหยาบ)/กระเทียมบุบ 2-3 กลีบ/ แครอท ½  หัว(หั่นชิ้นใหญ่) /เซเลอรี่ 1 ก้าน (หั่นชิ้นใหญ่)/ ต้นกระเทียม ½   ต้น (หั่นชิ้นใหญ่)

-ไวน์แดง หรือวิสกี้ ประมาณ ¼  ถ้วย

-น้ำสต๊อกไก่ หรือน้ำเปล่า (ประมาณ 800 ml หรือจนท่วมผักและกระดูก)

-เครื่องเทศที่ให้ความหอม เช่น ใบกระวาน, ก้าน Parsley, ข่อ Rosemary, ช่อ Oregano ใช้ใบต้นกระเทียมห่อมัดเข้าด้วยกันเป็นช่อ

-เกลือ พริกไทย สำหรับปรุงรส

 

วิธีทำ

-ผัดกระดูกไก่ที่สับไว้กับน้ำมันเพียงเล็กน้อย จนเป็นสีน้ำตาลสวย และบางส่วนติดกระทะ ตักขึ้นไว้ในชาม

-ใส่หอมใหญ่ ผัดจนหอมใหญ่เป็นสีใส ขูดเอาที่ติดก้นกระทะออกมาด้วย เติมกระเทียมบุบหยาบ

-เติมเหล้า ผัดให้เหล้าระเหยไปบ้าง

-เติมผัก (แครอท เซเลอรี่ ต้นกระเทียม) ผัดจนนุ่ม

-เติมน้ำสต๊อกไก่ หรือน้ำเปล่าจนท่วมผัก ใส่เครื่องเทศใบหอมๆ ต่างๆ ตั้งไฟให้เดือด แล้วลดเป็นไฟกลางค่อนข้างอ่อน

-ต้มไปจนผักนุ่ม ราวๆ ครึ่งชั่วโมง เติมน้ำถ้าดูว่าแห้งไป และคอยช้อนฟอง กับน้ำมันที่ลอยขึ้นมาบนผิวหน้าเสียบ้าง

-กรองเอาผักและกระดูกออก นำเอาน้ำที่ได้ กลับไปตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง หลังจากนั้นเบาไฟลง คอยเช็คดูว่า ความเข้มข้นได้ที่แล้ว ปิดไฟ

ถ้าหากต้องการให้ซอสข้นขึ้น ก่อนเสิร์ฟ ให้เติมตัวช่วยที่เรียกว่า เนยนวด (Kneaded butter) คือเนยนุ่มกับแป้งสาลี จำนวนเท่าๆ กัน นวดให้เข้ากันแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ เท่าปลายก้อย เก็บใส่ตู้เย็นไว้ เอาไว้สำหรับทำให้ซอสข้นขึ้น ในขั้นตอนสุดท้าย

 

holiday-challenge-roasted-turkey-4

Turkey Stuffing (ทำไว้ล่วงหน้าได้เช่นกัน) Super easy!

-เบคอน ประมาณ 6 แผ่น (หั่นชิ้นเล็ก)

-หอมแดง 3-4 หัว (สับละเอียด) + กระเทียมสับ ตามชอบ

-เซเลอรี่ 2 ก้าน (สับละเอียด)

-ใบโรสแมรี่ (สับละเอียด) ½ ชต

-แครนเบอรี่แห้ง 1 ถ้วย

-น้ำส้มสายชูกลั่นทำจากแอปเปิ้ล apple cider 200 ml

-ถั่วพิสตาชิโอ หรือ วอลนัท 1 ถ้วย (สับละเอียด)

-ไส้กรอกสด 300 กรัม (เอาแต่เนื้อ) Sloane’s sausage bf/ and /or Sloane’s Chorizo

-ผิวส้มขูด

-ไข่ไก่ 1 ฟอง

-ขนมปังป่น breadcrumbs 2 ถ้วย

-เกลือ พริกไทย ผง allspice , ground nutmeg

 

วิธีทำ

-ผัดเบคอนในกระทะจนมีน้ำมันออกมา เติมหอมแดงสับ เซเลอรี่สับ และกระเทียม ผัดไปจนนิ่มด้วยไฟอ่อนๆ ปิดฝาไว้สัก 10 นาที เติมแครนเบอรี่ และน้ำส้มแอปเปิ้ล เร่งไฟขี้นเป็นไฟกลาง และตั้งไปจนน้ำงวดลงเกือบแห้ง พักไว้ให้เย็นลง

-เติมเกลือ พริกไทย ผง allspice , ground nutmeg ไส้กรอกสด (เอาแต่เนื้อ) ผิวส้มขูด, ไข่ไก่ ถั่วพิสตาชิโอ หรือ วอลนัท และขนมปังป่น คลุกเข้าด้วยกัน

-ห่อด้วยกระดาษฟอยด์ แล้วนำไปอบ ไฟ 180 ˚C ประมาณ ½ ชั่วโมง

(ถ้าชอบ จะเปลี่ยนถั่ว เป็นเกาลัดก็ได้ค่ะ)

หั่นไก่งวง จัดใส่จาน ประดับด้วยฟักทองอบ มันฝรั่ง และบีทรูทอบ ผักกะหล่ำดาวลวก เสิร์ฟไส้ไว้ข้างๆ มีเกรวี่ กับ แครนเบอรี่ซอสเสิร์ฟไปพร้อมๆ กัน

 

holiday-challenge-roasted-turkey-5

 

ส่วนที่เสิร์ฟไม่หมด เช่น ปีก สะโพก อาทิตย์หน้าจะมาบอกสูตรที่ทำเป็น Winter Stew เติมแฮม ไส้กรอก มันฝรั่งเข้าไป อิ่มอุ่น อร่อย ไม่เสียของด้วยค่ะ

 

Shopping:  www.passiondelivery.com 

Turkey, Bacon, Sloane’s breakfast sausage, Sloane’s Chorizo, Pistachio

 

จิน – เครื่องดื่มสุดฮิปของคนทุกรุ่น

หากให้นึกถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีความเป็นอังกฤษ จะให้นึกถึงอย่างอื่นคงเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่จิน จริงๆ แล้วจินมีถิ่นกำเนิดที่ฮอลแลนด์แต่มาได้รับความนิยมที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ศตวรรษที่17 จนมีการพัฒนารูปแบบโดยเริ่มผลิตจินแบบ dry หรือไม่หวานครั้งแรกที่ Plymouth จนในที่สุดจินได้มีการปรับปรุงคุณภาพการผลิตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น London Dry Gin อย่างที่เห็นกันหลากหลายในปัจจุบัน

 

how-to-drink-gin-and-select-fords-gin-2

จินเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคเฟื่องฟูของค็อกเทล ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่19 เป็นต้นมา เพราะกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของจินจึงเป็นที่นิยมในเหล่าบาร์เทนเดอร์โดยมีค็อกเทล ไม่ว่าจะเป็น Martini หรือ Negroni ที่ล้วนแต่มีจินเป็นส่วนผสมหลัก และหากพูดถึงจินแต่ไม่พูดถึง Gin and Tonic เครื่องดื่มอันแสนเรียบง่ายแต่คลาสสิคก็คงไม่ได้ Gin and Tonic (หรือ G & T) เป็นเครื่องดื่มที่คิดค้นตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมของอังกฤษโดยที่โทนิคนั้นมีส่วนผสมของควินินซึ่งเป็นยาต้านไข้มาลาเรีย (ที่ระบาดในอินเดียและประเทศใกล้เคียง) แต่เนื่องจากควินินมีรสขมบาดใจเหลือเกิน คนในสมัยนั้นจึงนำจินมาผสมเพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น ก็เลยเป็นที่มาของค็อกเทลสุดคลาสสิคตัวนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามในยุคปี 1970s และ80s ความนิยมในเหล้าจินได้ถูกวอดก้าขโมยซีนอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าจินไม่ได้กลับไปสู่จุดพีคอย่างแต่ก่อน แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตหน้าใหม่หันมาผลิตจินแบบเก๋ๆ ผลิตกันแบบเล็กๆ ออกแนวฮิปสเตอร์ จึงเริ่มมียี่ห้อดีๆ เท่ๆ ให้เห็นกัน โดยวันนี้ขอแนะนำยี่ห้อ Fords Gin

 

how-to-drink-gin-and-select-fords-gin-3

how-to-drink-gin-and-select-fords-gin-4

จินจะเรียกตัวเองว่าจินไม่ได้ ถ้าไม่มีกลิ่นหอมหลักของผล Juniper Berry อันนี้สำคัญมาก ไม่มีไม่ได้ แต่ที่เหลือจะใส่สมุนไพรหรือกลิ่นอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละผู้ผลิต หลักๆ ก็หนีไม่พ้นลูกผักชี (อันนี้ก็สำคัญ) กับผลไม้สกุลส้ม (citrus) ทั้งหลาย สำหรับ Fords Gin ตัวนี้ทางผู้ผลิตได้คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดีจากประเทศต่างๆ นอกจาก Juniper Berry จากอิตาลีแล้วยังมีลูกผักชีจากโรเมเนีย เปลือกส้มจากโมร็อคโค เปลือกมะนาวจากสเปน และเปลือกเกรปฟรุตจากตุรกี รวมทั้งดอกมะลิจากประเทศจีน และดอก Orris จากอิตาลีและโมร็อคโค กับเครื่องเทศทั้ง Angelica จากโปแลนด์ Cassia จากอินโดนีเซีย จึงไม่แปลกใจที่จินตัวนี้ถึงมีกลิ่นหอมอันลึกล้ำดีจริงๆ มีเนื้อสัมผัสกลางๆ สดชื่น ไม่หนักจนเกินไป มีกลิ่นดอกไม้ มะนาว จูนิเปอร์ และเครื่องเทศตลบอบอวลในปากเป็นเวลานาน

หากใครเป็นสายแข็งอยากรับรู้รสชาติจินอย่างแท้จริงแนะนำให้ดื่มเพียวๆ เลย โดยผสมน้ำลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยให้กลิ่นหอมระเหยขึ้นมา แต่หากใครชอบจิบชิวๆ แนะนำผสมโทนิค แต่งด้วยมะนาว ดื่มได้เรื่อยๆ ชื่นใจจริงๆ

 

สามารถดื่ม Fords Gin ได้ตามบาร์ชั้นนำของเมืองไทย

และสามารถหาซื้อได้ที่ www.passiondelivery.com

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5

 

Menu Tuna

 

ไปทานอาหารร้านฝรั่งที่ไหน เมนูที่แทบทุกร้านมักจะมีคืออาหารที่ทำจากทูน่า อาจเพราะเนื้อปลาทูน่าเก็บรักษาได้ง่าย นำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด และเนื่องจากเป็นปลาจากท้องทะเลลึก จึงหมดห่วงเรื่องพยาธิ เนื้อปลาก็แปลกจากปลาอื่นๆ เมื่อทำให้สุกมีรสชาติเกือบเหมือนเนื้อไก่ จริงๆโดยตัวมันเองเปล่าๆ ก็อร่อยอยู่แล้ว ดังนั้นอาหารชนิดนี้จึงมักจะเสริฟดิบหรือกึ่งดิบกึ่งสุก เพราะการเอาปลาทูน่าไปผ่านความร้อนจากการหุงต้มเป็นเวลานาน นอกจากจะทำลายคุณค่าสารอาหารของมันเสียแล้ว ยังเป็นการทำลายรสชาติอย่างน่าเสียดาย

 

เรารู้ๆกันอยู่ละนะว่าปลาทูน่ามีประโยชน์ แต่มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ลองอ่านผ่านๆตาอีกทีค่ะ

 

ข้อดีทางโภชนาการ: ปลาทูน่าเป็นปลาทะเลน้ำลึก ได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ที่สุดชนิดหนึ่ง มีทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3สูงกว่าอาหารชนิดอื่นๆ โอเมก้า 3นี้ ร่างกายไม่อาจสร้างขึ้นเอง แต่มีความสำคัญในการทำงานของแทบทุกระบบของร่างกายเช่น ระบบหลอดเลือดหัวใจ (ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน และ โรคอัมพาต) ระบบประสาท (ช่วยเพิ่มความจำ) สายตา (ช่วยในการมองเห็น) ระบบภูมิคุ้มกัน (ลดอาการภูมิแพ้) ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบสืบพันธุ์ ระบบข้อกระดูก นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ทางด้านความงาม ช่วยให้ผิวพรรณดี มีประโยชน์ต่อเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และสตรีมีครรภ์ 1

 

เอาล่ะ ทีนี้ สมมุติว่า เราได้ปลาทูน่าชนิดเนื้อล้วนมา เราจะเอามาทำอะไรกันดี 

 

วิธีง่ายๆ และอร่อยวิธีแรกที่อยากแนะนำก็คือ ทำทูน่าทาร์ทาร์

 

tuna002

 

ด้วยวิธีนี้ เรายังสามารถเก็บรสชาติ ความสดอร่อยและคุณประโยชน์ไว้ได้ครบถ้วน ขอร้องเถอะค่ะ อย่าเอาไปปรุงรสจัดเหมือนกุ้งเต้น ประมาณว่าสาดพริกน้ำปลามะนาว จนแทบมองไม่เห็นเนื้อปลา เสียดายของค่ะ กินรสชาติของปลา เหมือนที่คนญี่ปุ่นเขากินปลาดิบเถิด ในสูตรแบบฝรั่งเศสนี้ ก็มีการปรุงสุกด้วยน้ำมะนาว แต่งรสชาติด้วยหอมแดงสับละเอียด และแตงกวาดองสับ เราชอบรสจัด เราอาจแอบเหยาะทาบาสโก้เพียงเล็กน้อย พอให้รสแหลมขึ้น หรือในรูปวันนี้ ก็ใส่พริกขี้หนู เอาเม็ดออกบ้าง สับละเอียด พอให้เจือรสเผ็ด เหมาะกับคนที่ชอบรสจัด แต่ต้องระวังอย่าให้รสเผ็ดนำหน้าเป็นอันขาด เราไม่ได้ทำยำแบบไทยค่ะ

 

tuna003

 

สูตร ทูน่าทาร์ทาร์ (สำหรับ 4 คน)

ส่วนผสม

– ถั่วเลนทิลชนิดสีเขียว 100 กรัม

– บูเค การ์นี่ 1 ช่อ

– ซอสมัสตาร์ดเปรี้ยว 2 ชต (ไม่ใส่ก็ได้)

– กระเทียม (สับละเอียด) 1 กลีบ

– หอมแดง (สับละเอียด) 1 หัว

– ต้นหอม หรือใบพาร์สลี่ (สับละเอียด) 1ชต

– เกลือ พริกไทย เพื่อปรุงรส

– ทูน่า เกรดดี (หั่นเป็นลูกเต๋า) 250 กรัม

– แตงกวาดอง (สับ) 20กรัม

– หัวหอม (สับ) 2หัว

– พริกขี้หนู 1 เม็ด (เอาเม็ดออกแล้วสับ)

– น้ำมะนาว เกลือ พริกไทย เพื่อปรุงรส

– น้ำมัน อาจเป็นน้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันสกัดจากเม็ดองุ่น

– Tabasco (ถ้าชอบ)

 

วิธีทำ

ใส่น้ำให้ท่วมถั่วเลนทิล ตั้งไฟจนเดือด เทน้ำออก เติมน้ำให้ท่วมถั่วเลนทิลอีกครั้ง เติมเกลือเล็กน้อย ตั้งไฟจนเดือด ใส่ช่อบูเคการ์นี่ ลดไฟลงเป็นไฟกลางค่อนข้างอ่อน ต้มไปจนถั่วสุกและนิ่ม ประมาณ 15-20 นาที กรองเอาน้ำออก เก็บไว้ก่อน

 

ก่อนเสิร์ฟ : เติมซอสมัสตาร์ดเปรี้ยว 2 ชต ต้นหอม หรือใบพาร์สลี่ หอม และกระเทียมสับ คลุกให้เข้ากัน ใส่ไว้เป็นฐานในห่วงวงกลม

 

ก่อนเสิร์ฟ คลุกทุกอย่างเข้าด้วยกัน บีบมะนาว ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และน้ำมันเพียงเล็กน้อย อาจขูดผิวมะนาวลงไปด้วย ถ้าชอบ ถ้าหากเสิรฟกับไข่ปลาคาเวียร์ ให้ระวังเรื่องเกลือ เพราะไข่ปลานั้นก็เค็มอยู่แล้ว

 

เสิร์ฟพร้อมกับไข่ปลาคาเวียร์ มันฝรั่งบดผสมซอสเพสโต้ และ ครีมชีส ข้อนี้เป็นเพียงทางเลือก เพื่อเพิ่มความสนุกสนาน หรูหรา ให้กับเมนูง่ายๆนี้ หากมีสิ่งของเหล่านี้อยู่ในบ้าน นำมาเพิ่มเติมก็เพิ่มความอร่อย มันเข้ากันดีค่ะ

 

ทูน่า เกรดดีและครีมชีส เลือกสั่งจาก http://www.passiondelivery.com/

อิสราเอล-อารยธรรมเก่าแก่แห่งโลกไวน์

อิสราเอล คงเป็นประเทศที่น้อยคนนักจะรู้ว่าผลิตไวน์ หรือถ้าให้นึกถึงประเทศที่ผลิตไวน์ คงไม่มีใครคิดถึงอิสราเอล แต่หารู้ไม่ว่าบริเวณที่เป็นประเทศอิราเอลในปัจจุบันนี้เคยเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลก และตรงนี้นี่เองที่นักโบราณคดีค้นพบว่าเมื่อหลายพันปีมาแล้วเป็นที่ปลูกองุ่นทำไวน์ที่แรกของโลก

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-3

 

อิสราเอลมีภูมิอากาศแบบเมดิเตอเรเนียน นั่นก็คือฤดูร้อนมีอากาศร้อน ส่วนฤดูหนาวมีฝนตก เห็นประเทศมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็มีแหล่งปลูกองุ่นหลายโซน คงทราบกันดีว่าอิสราเอลมีระบบการปลูกพืชที่ทันสมัย ทำให้หลายๆ ประเทศต้องขอไปดูงาน โดยเฉพาะเรื่องระบบน้ำหยดที่ช่วยให้พืชต่างๆ เจริญเติบโตได้ดีในประเทศที่ค่อนข้างแห้งแล้ง  ประกอบกับอิสราเอลมีเทคโนโลยีการผลิตไวน์ที่ทันสมัย ทำให้ไวน์ของประเทศนี้เป็นที่น่าสนใจในหมู่นักดื่มไวน์ที่ชอบอะไรแปลกใหม่น่าค้นหา

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-2

 

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-5

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-1

 

ไวน์อิสราเอลนั้นส่วนใหญ่ทำจากองุ่นพันธุ์ที่เราๆ คุ้นเคยกันดี เช่น cabernet sauvignon merlot และ chardonnay อย่างเช่นไวน์ที่อยากแนะนำในครั้งนี้เป็นไวน์ยี่ห้อ Barkan ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดย  Barkan Vineyards ถือกำเนิดเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือว่าเก่าแก่เลยทีเดียว ไวน์ตัวนี้เป็นไวน์รุ่นคลาสสิค ทำจากองุ่นพันธุ์ cabernet sauvignon ซึ่งเป็นองุ่นแห่งบอร์โดซ์ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย แต่เนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างร้อนเลยทำให้องุ่นของที่นี่มีความสุกเต็มที่ จึงทำให้สามารถผลิตไวน์ที่เข้มข้น แอลกอฮอล์สูง มีกลิ่นหอมอันสลับซับซ้อนของเชอรี่ดำ  แบล็คเคอแรนท์ ผลแครนเบอร์รี่แห้ง และกลิ่นสมุนไพรต่างๆ ทั้งใบไทม์ และชะเอม มีแทนนินสูงแต่นุ่มไม่บาดปาก เหมาะสำหรับทานกับสเต็กชิ้นโตๆ ซี่โครงแกะย่าง หรือจะเป็นฟัวกราส์ทอดราดซอสเบอร์รี่เปรี้ยวๆ หวานๆ ก็น่าจะเหมาะ

 

 

how-to-drink-red-wine-barkan-wine-4

 

หากรักการดื่มไวน์ อยากให้ลองชิมไวน์จากที่แปลกๆ แล้วจะรู้ว่าไวน์ดีๆไม่ได้มีแต่ที่ฝรั่งเศสเสมอไป

 

สามาถหาซื้อไวน์ Barkan ได้ที่ :

www.passiondelivery.com

 

เครดิตภาพ : 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7

Bussaba – ไวน์หวานปานดอกไม้

ไวน์หวาน ไวน์ที่หลายๆ คนอาจไม่ชิน เพราะส่วนใหญ่มักดื่มแต่ไวน์แบบดราย หรือไม่ก็เพราะไม่แน่ใจว่าจะดื่มตอนไหนดี วันนี้ขอแนะนำไวน์หวานของคนไทยที่คุณภาพไม่แพ้ไวน์หวานของฝรั่ง และมีกลิ่นหอมยวนใจน่าดื่ม

 

how-to-drink-wine-2

 

หากพูดถึงไวน์หวานหลายคนคงนึกถึงไวน์ Sauternes อันเลื่องชื่อของฝรั่งเศส เช่น Chateau d’Yquem ที่ราคาแพงเกินเอื้อม หรือบางคนอาจคิดถึง ice wine ของเยอรมัน และแคนาดา จริงๆ แล้วไวน์หวานสามารถผลิตได้หลายวิธี แต่ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะเลือกเก็บองุ่นเมื่อสุกงอมจนระดับน้ำตาลในองุ่นนั้นสูงมาก เมื่อนำมาผลิตไวน์ ยีสต์ที่เป็นตัวเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ไม่สามารถกินน้ำตาลได้จนหมด จึงทำให้ไวน์ที่ได้นั้นมีน้ำตาลหลงเหลืออยู่เป็นปริมาณมาก รสชาติของไวน์จึงหวานตามธรรมชาติ ไม่ได้มีการเติมน้ำตาลลงไปเพิ่มแต่อย่างใด

 

white wine

how-to-drink-wine-4

 

ไวน์หวานเป็นไวน์ที่สามารถทานได้กับอาหารหลากหลายชนิด  คนฝรั่งเศสนิยมทาน Sauternes กับฟัวกราส์ แต่ส่วนใหญ่มักจะทานกับของหวาน แต่ฉันชอบทานไวน์หวานแทนของหวานไปเลยจะได้ไม่ต้องเพิ่มแคลอรี่มากนัก

สำหรับไวน์หวานที่อยากแนะนำวันนี้เป็นไวน์ของคนไทยชื่อ Bussaba (บุษบา) ของ ไร่องุ่น Granmonte ซึ่งเป็นไวน์ที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมายในต่างประเทศ  ไวน์นี้ทำจากองุ่นพันธุ์ Chenin Blanc ผสมกับ Semillon และ Muscat เล็กน้อย เป็นไวน์สีทองอ่อน กลิ่นหอมหวานของผลไม้สุกฉ่ำ ทั้งมะม่วง สับปะรด เสาวรส แอปเปิ้ล และกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาว มีรสหวานแต่ไม่เลี่ยน เพราะมีความเปรี้ยวตัดกำลังดี ไวน์นี้มีแอลกอฮอล์ค่อนข้างต่ำ จึงสามารถทานแช่เย็นดื่มเปล่าๆ ก็ได้ ไม่เข้มจนเกินไป อาจจะทานกับขนมหวานไทยๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวมะม่วง ผลไม้ลอยแก้ว หรือจะทานกับขนมฝรั่ง เช่น ทาร์ตผลไม้ก็น่าจะอร่อยไม้แพ้กัน

 

how-to-drink-wine-3

 

สามาถหาซื้อไวน์บุษบาได้ที่ :

www.granmonte.com

www.passiondelivery.com

 

เครดิตรูป : 1, 2, 3, 4,