เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 2
By Paul Sansopone
…..“ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบินแอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น……”
การเดินทางในกรุงปารีส
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่องการเลือกย่านหรือเขตที่เหมาะกับการใช้เป็นที่พักพิงในปารีสนั้น เราควรรู้ก่อนว่าเราจะไปไหนมาไหนแบบเที่ยวให้ทั่วอย่างไร เพราะปารีสเป็นมหานครที่กว้างใหญ่กินอาณาเขตกว่า 100 ตารางกิโลเมตร ถ้ารวมเขตปริมณฑลด้วยยิ่งแผ่อาณาเขตไปไกลมาก ถ้าอยู่ขอบนอกจะเดินทางเข้ามาเที่ยวแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เช่นมีครั้งหนึ่งผมเคยไปอยู่เขต อังโตนี่ (Antony) ห่างออกไปทางใต้ของปารีสแค่ 10 กว่ากิโล ฟังดูเหมือนไม่ไกล แต่การเดินทางใช้เวลามากเพราะกว่าจะเดินไปสถานีรถไฟ RER แบบรถชานเมืองที่มีตารางเข้าออกไม่บ่อยนักในสมัยนั้น ก็ใช้เวลานานอยู่
ดังนั้นถ้าถามว่าถ้าเราจะไปเที่ยวปารีสให้สนุกนั้น หากมีเวลาไม่มากก็ควรอยู่ในตัวเมืองครับ แล้วที่ไหนล่ะที่เรียกว่าตัวเมือง ปกติถ้าเป็นเมืองต่างๆ ในยุโรปก็ต้องบอกว่าก็ต้องบอกว่าอยู่ในเขตเมืองเก่าหรือภายในเขต City Wall แต่ถ้าเป็นปารีสก็ต้องบอกว่าจุดไหนก็ได้ที่อยู่ภายในเขตถนนวงแหวนของกรุงปารีสที่เรียกว่า “เปริเฟฮริก “(Périphérique) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Périph ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1958 ตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าบางส่วนของกรุงปารีส ซึ่งถ้าเราขับรถวิ่งไปครบรอบวงแหวนนี้จะได้ระยะทางทั้งสิ้น 35.04 กิโลเมตร ใช้เวลา 30 นาที เพราะต้องวิ่งตามความเร็วจำกัดของถนนวงแหวนนี้ก็คือ 70 กม.ต่อชั่วโมง
โดยปกติถ้าเป็นถนนวงแหวนหรือถนนไฮเวย์แบบนี้ก็จะมีทางออกที่เรียกว่า “ซ็อกตี” Sortie (หมายถึง Exit) ไปยังจุดต่างๆแต่เนื่องจากถนนวงแหวนของกรุงปารีสนั้นสร้างตามตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าซึ่งมี ‘ประตูเมือง’ ที่เรียกว่า “ป๊อกต์”Portes (City Gates) อยู่ถึงกว่า 30 แห่ง ทำให้ทางเข้าออกของถนนวงแหวนแห่งนี้ก็จะลงไปที่จุดประตูเมืองนั่นเอง เช่น ประตูคลีนองกูร์( Porte de Clignancourt , ประตูแบร์ซี่( Porte de Bercy) เป็นต้น และประตูที่อยู่ทางทิศเหนือใต้ออกตกก็จะเชื่อมออกสู่ถนนไฮเวย์ (Autoroute) ไปสู่ภูมิภาคซึ่งจะสังเกตว่า ชื่อของไฮเวย์สายต่างๆ จะใช้ A นำเพราะมาจากคำว่า Autoroute นั่นเอง เช่น A1, A2 ในขณะที่ประเทศอังกฤษใช้คำว่า Motorway ทางด่วนในอังกฤษก็เลยเป็น M นำหน้า เช่น M1, M2 (ดูภาพประกอบข้างล่าง)
แต่การพูดถึงถนนวงแหวน ผมก็ไม่ได้หมายถึงจะแนะนำหรือส่งเสริมให้เช่ารถนะครับ ยกเว้นมีโปรแกรมที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นต่อด้วย เพราะการจารจรในปารีสมันน่าอึดอัดใจอยู่โดยเฉพาะช่วงเร่งด่วน และการจอดรถนั้นก็ไม่ง่ายเลยยกเว้นว่าคุณจะยอมเสียเงินไปจอดตาม Private Parking ที่เก็บค่าจอดสูงพอควร ยิ่งถ้าจอดค้างคืนด้วยก็เสียค่าจอดคืนละไม่ต่ำกว่า 20-30 ยูโรแน่ๆ ส่วนที่จอดแบบมิเตอร์ข้างถนนนั้นเสี่ยงอยู่ ถ้าจอดในย่านไม่ดีกลับมาอาจโดนทุบกระจกหรือไม่ก็เจอรอยบุบตามกันชนหน้าหลัง เพราะที่ปารีสนั้นเขาจอดกันแบบพอดีคันจริงๆ (ดูรูปข้างล่าง) แล้วเวลาเข้าออกนั้นเขาก็จะขับดันคันหน้าออกไปหรือถอยดันคันหลังออกไปหน้าตาเฉย คุณต้องไปจ่ายค่า Excess ให้บริษัทรถเช่าแน่ๆ
แต่ที่เป็นเสน่ห์ของการจอดรถในปารีสก็มีนะครับ ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบิน แอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น (ดูรูปข้างล่าง: เจ้าหน้าที่เขียนใบสั่งของปารีสในยุคปี 80) แต่จริงๆ แล้วก็ไม่น่าจะต้องกังขาเพราะผู้ออกแบบเครื่องแบบดังกล่าวก็คือ Marie-Louise Carven เจ้าของแบรนด์ดังชื่อการ์วง Carven ที่เป็นห้องเสื้อระดับสูงเจ้าแรกที่ทำชุดสำเร็จรูป (Credit: Wikipedia..first couturieres to launch a prêt-à-porter line) Carven ยังออกแบบชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องของกว่า 20 สายการบินและชุดพนักงานรถไฟ ยูโรสตาร์อีกด้วย
สรุปก็คือการเช่ารถมาเที่ยวปารีสเป็นเรื่องน่ากังวลใจอยู่ จริงๆ แล้วปารีสคือเมืองที่เหมาะแก่การเดินเที่ยวมากที่สุดในโลกครับ และถ้าต้องการจะไปไหนที่มันไกลกว่าพิกัดการเดินแล้วก็ไม่ต้องกังวล เพราะตราบใดที่เราอยู่ในพื้นที่ด้านในกรอบถนนวงแหวนแล้วการไปไหนก็ไม่ยาก เพราะปารีสมีระบบรถไฟใต้ดินที่ทันสมัยเรียกว่าไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเขตภายในถนนวงแหวนนั้นคุณก็สามารถจะเดินหาสถานีรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า Metro ของที่นี่ได้ภายในระยะทางเดินไม่เกิน 600 เมตร แต่ถ้าเป็นย่านพลุกพล่านกลางเมืองจริงๆ ก็ไม่น่าเกิน 300 เมตรเลยทีเดียว สะดวกมาก ต้องขอพูดถึงซะหน่อย
Métro de Paris
Métro คือระบบรถไฟใต้ดินของกรุงปารีสอ่านว่า ‘เมะโทร’ย่อ มาจากคำว่า Métropolitain ที่แปลว่านครหลวงหรือมหานคร แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมาจากชื่อบริษัทแรกที่ทำการบริหารระบบรถไฟใต้ดินของมหานครแห่งนี้ที่ชื่อ La Compagnie du chemin de fer métropolitain de Paris หรือบริษัทการรถไฟแห่งนครปารีส ซึ่งก็เพราะชื่อยาวเหยียดแบบนี้คนปารีสหรือที่เรียกว่าปารีเซียน (Parisienne) นั้นก็เลยย่อให้เหลือแค่ Métro สั้นๆ
มันเริ่มก่อสร้างมากว่า100 ปีแล้วโดยแนวคิดมาตั้งแต่ปี 1845 ตอนแรกก็เพราะรถไฟบนดิน รถรางและรถยนต์สวนกันไ มาเริ่มมีอุบัติเหตุบ่อยประกอบกับรถไฟใต้ดินของเมืองคู่แข่งอย่างลอนดอน ที่มีชื่อเล่นว่า ‘The Tube’ นั้นก็เปิดใช้ประสบความสำเร็จเป็นระบบใต้ดินแห่งแรกของโลกตั้งแต่ปี 1863 ทำให้ปารีสไม่ยอมน้อยหน้ากำหนดเปิดรถไฟใต้ดินสายแรกในปี1889-1900 ซึ่งเป็นช่วงที่ปารีสได้เจ้าภาพจัดงานนิทรรศการสินค้านานาชาติที่เรียกว่า World’s Fair (Exposition Universelle) ซึ่งก็มีหอไอเฟลซึ่งตั้งใจสร้าง (โดย Gustave Eiffel) เพื่องานนี้โดยเฉพาะ เป็นไฮไลท์ และเนื่องจากยุคปี1900 นั้น เป็นยุคศิลปะแบบ Art Nouveau ซุ้มประตูลงรถฟใต้ดินของปารีสจึงถูกออกแบบในสไตล์ Art Nouveau โดยศิลปินที่ชื่อ Hector Guimard ปัจจุบันผลงานที่เป็นซุ้มประตู Metro ของเขาก็ยังมีเหลืออยู่ถึง 86 แห่งในปารีส
และรถไฟใต้ดินในปารีสนั้นก็ยังมีแนวคิดไม่ยึดติด เช่น เพื่อให้มีความนุ่มนวลในการเดินทาง ได้ออกแบบล้อให้เป็นแบบยางรถยนต์ไม่ได้ใช้ล้อเหล็กเหมือนรถไฟปกติ (เฉพาะในบางเส้นทาง) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลองใช้บริการ
ทุกวันนี้มีคนใช้รถไฟใต้ดินในปารีสเฉลี่ย 4.16 ล้านคนต่อวัน และปัจจุบันมี 16 สาย 303 สถานี โดยมีสถานีชุมทางใหญ่ที่เรียกว่า Correspondence อยู่ที่สถานี Châtelet – Les Halles ที่มีถึง 5 สายตัดผ่านที่นี่สำหรับการเชื่อมต่อ และยังมีระบบรถไฟชานเมืองที่เรียกว่าRER (Réseau Express Régional) ที่ไม่หยุดทุกสถานีเข้ามาเสริมระบบ Metro อีก 5 สาย A, B, C, D, E ซึ่งทำให้สะดวกยิ่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่นอกเขตถนนวงแหวน
รูปด้านล่างเป็นภาพการออกแบบปรับปรุงใหม่ของทางเข้า Forum des Halles ซึ่งเป็น Shopping Complex ที่เชื่อมต่อกับชุมทางรถไฟใต้ดินขนาดใหญ่ของกรุงปารีสคือ Châtelet – Les Halles
ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวปารีสก็มักจะมี Plan du metro หรือแผนที่รถไฟใต้ดินติดกระเป๋าไว้แทบจะเรียกว่า 8 ใน 10คนของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ แต่ของกรุงเทพฯยังไม่ต้องเพราะตอนนี้มีอยู่แค่ 2 สายเท่านั้น จำไม่ยาก
ตัวอย่างแผนที่ระบบการบริการสาธารณะด้านการเดินทางภายในถนนวงแหวน
ก่อนจะจบตอนนี้ อยากจะขอแนะนำสถานีรถไฟใต้ดินในปารีสที่สวยที่สุดสัก 5-6 สถานี เพราะ ช่วงหลังนี้แต่ละเมืองใหญ่ก็แข่งกันทำสถานีรถไฟใต้ดินของตัวเองให้สวยขึ้น เช่นที่สต็อคโฮม ประเทศสวีเดน ไม่ต้องพูดถึงกรุงมอสโคของประเทศรัสเซีย ที่มีสถานีรถไฟใต้ดินที่ดูแกรนด์ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว สำหรับในปารีส สถานีที่น่าสนใจ มีดังนี้
สถานีรถไฟใต้ดินที่น่าสนใจของกรุงปารีส
1.สถานี Louvre-Rivoli สถานีนี้เปิดใช้ตั้งแต่ปี 1900 มีการตกแต่งให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Louvre ตามชื่อของสถานี แต่เมื่อปี 1989 หลังจากที่มีการสร้างปิรามิดแก้วทางเข้าใหม่และทางเข้าอีกด้านจากทางสถานี Palais Royal ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นLouvre-Rivoli เพราะมีทางออกไปถนน Rivoli ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ที่ถือเป็นถนนสาย Shopping แบบ High Street ที่ใครๆก็ชอบเนื่องจากเป็นย่านที่ขายสินค้าในราคาพอเหมาะ
2.สถานี Concorde ที่เป็นเสน่ห์ของการตกแต่งสถานีกองกอรด์ Concorde ก็คือผนังที่ปูกระเบื้อง (Tiled Walls) จริงๆ ทุกๆ สถานีของกรุงปารีสก็ใช้กระเบื้องปูผนังที่สวยอยู่แล้วแต่ที่นี่คิดรูปแบบโดย Françoise Schein’s เป็นรูปแบบคล้าย Words Puzzle หรือ Cross words ให้หาคำซึ่งจะเกี่ยวกับการประกาศสิทธิมนุษย์ชน Declaration of the Rights of Man ซึ่งเชื่อมโยงมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส เนื่องจากในปี 1989 ที่มีการตกแต่งกำแพงในสถานีนี้นั้นเป็นการฉลองครบรอบ 200 ปีของ French Revolution และจัตุรัสกองกอรด์ก็คือลานประหารชีวิตของผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายปฏิวัติในสมัยนั้น
3.สถานี Varenne สถานีนี้อยู่ในเขต 7 (7th arrondissement) ก็มีมุกคล้ายๆ สถานี Louvre ที่จำลองผลงานในพิพิธภัณฑ์มาตกแต่ง เพราะเนื่องจากสถานี Varenne นั้นอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์โรแดง Rodin Museum. ซึ่งRodin เองถือว่าเป็นบิดาแห่งประติมากรรมสมัยใหม่( Modern Sculpture ) เจ้าของผลงาน ‘นักคิด’หรือปงส์เซอร Le Penseur (The Thinker) ซึ่งมีการจำลองไว้ที่สถานีนี้พร้อมมีเรื่องราวบอกว่าที่จริง ประติมากรรมที่ชื่อปงส์เซอร นั้นเมื่อก่อนนี้ชื่อว่า “The Poet” เพราะตั้งใจจะให้หมายถึง Dante ยอดนักปราชญ์ของอิตาลี ดังนั้นหากถ้าเราไม่มีเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์โรแดงก็แอบไปselfieกับ‘นักคิด’ ท่านนี้ได้ที่สถานีนี้เลย
4.สถานี Cluny-La Sorbonne สถานีนี้อยู่ในย่าน ‘กาติเย่ ลาแตง’ในเขต5 (5th arrondissement) มีผลงานโมเสก (Mosaics)บนเพดานของ Jean Bazaine ที่ชื่อ Les Oiseaux (The Birds) นอกจากนั้นยังมีชื่อของผู้มีชื่อเสียงที่เคยอยู่ในย่านนี้มาก่อน เช่น Rabelais, Molière ฯลฯ สถานี Cluny-La Sorbonne เปิดครั้งแรกในปี 1930 ตั้งชื่อตามพิพิธภัณฑ์ ครูนี่ Musée de Cluny และมหาวิทยาลัย Sorbonne University
5.สถานี Bastille Bastille Day (July 14th) คือวันชาติฝรั่งเศสและถือเป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ของประเทศ สถานีบาสตีล์ Bastilleนั้นตั้งอยู่ ณ บริเวณใดที่เคยเป็นคุกบาสตีล์ที่ขังนักโทษกบฎ และในวันที่14 กรกฎาคมของปี 1789 ก็เป็นวันที่ประชาชนปารีสหมดความอดทนกับระบอบการปกครองและความยากจน จึงมีการลุกฮือกันทำลายคุกนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสัญญาลักษณ์ของการปฎิวัติฝรั่งเศส ดังนั้นที่กำแพงของสถานีนี้จึงมีเรื่องราวในลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนฝรั่งเศส( Life-changing ) หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันเป็นผลงานของ Liliane Belembert และ Odile Jacquot มีทั้งหมด 5 ภาพเรียกว่าเหมือนได้เข้าโบสถ์ไปดูภาพ fresco ยังไงยังงั้นเลย
6.สถานี Arts et Metiers สถานีArts et Metiers เปิดครั้งแรกในปี 1904 แต่ถูกออกแบบใหม่ในปี 1994 เพื่อฉลองครบรอบ 200 ปีของการรักษาไว้ซึ่งศิลปหัตถกรรมของชาติ โดยการออกแบบใหม่นี้ตกแต่งให้สถานีเป็นเหมือนเรือดำน้ำที่ชื่อ นอติลุส (Nautilus)ในนวนิยายของ Jules Verne เรื่อง “ใต้ทะเล 20000 โยชน์” (20000 leagues under the sea) สถานีนี้ผมชอบมากที่สุด ถ้าคุณอยากไปดูให้นั่งสาย 3 หรือ11 จะผ่านสถานีนี้ครับ
เจอกันคราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงเขตหรือย่านที่น่าพิจารณาว่าเราควรจะเลือกจองที่พักเราในเขตไหนดี