City Break Paris Part II

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 2
By Paul Sansopone

…..“ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบินแอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น……”

การเดินทางในกรุงปารีส
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่องการเลือกย่านหรือเขตที่เหมาะกับการใช้เป็นที่พักพิงในปารีสนั้น เราควรรู้ก่อนว่าเราจะไปไหนมาไหนแบบเที่ยวให้ทั่วอย่างไร เพราะปารีสเป็นมหานครที่กว้างใหญ่กินอาณาเขตกว่า 100 ตารางกิโลเมตร ถ้ารวมเขตปริมณฑลด้วยยิ่งแผ่อาณาเขตไปไกลมาก ถ้าอยู่ขอบนอกจะเดินทางเข้ามาเที่ยวแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เช่นมีครั้งหนึ่งผมเคยไปอยู่เขต อังโตนี่ (Antony) ห่างออกไปทางใต้ของปารีสแค่ 10 กว่ากิโล ฟังดูเหมือนไม่ไกล แต่การเดินทางใช้เวลามากเพราะกว่าจะเดินไปสถานีรถไฟ RER แบบรถชานเมืองที่มีตารางเข้าออกไม่บ่อยนักในสมัยนั้น ก็ใช้เวลานานอยู่
ดังนั้นถ้าถามว่าถ้าเราจะไปเที่ยวปารีสให้สนุกนั้น หากมีเวลาไม่มากก็ควรอยู่ในตัวเมืองครับ แล้วที่ไหนล่ะที่เรียกว่าตัวเมือง ปกติถ้าเป็นเมืองต่างๆ ในยุโรปก็ต้องบอกว่าก็ต้องบอกว่าอยู่ในเขตเมืองเก่าหรือภายในเขต City Wall แต่ถ้าเป็นปารีสก็ต้องบอกว่าจุดไหนก็ได้ที่อยู่ภายในเขตถนนวงแหวนของกรุงปารีสที่เรียกว่า “เปริเฟฮริก “(Périphérique) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Périph ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1958 ตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าบางส่วนของกรุงปารีส ซึ่งถ้าเราขับรถวิ่งไปครบรอบวงแหวนนี้จะได้ระยะทางทั้งสิ้น 35.04 กิโลเมตร ใช้เวลา 30 นาที เพราะต้องวิ่งตามความเร็วจำกัดของถนนวงแหวนนี้ก็คือ 70 กม.ต่อชั่วโมง

City Break Paris Travel in Paris

โดยปกติถ้าเป็นถนนวงแหวนหรือถนนไฮเวย์แบบนี้ก็จะมีทางออกที่เรียกว่า “ซ็อกตี” Sortie (หมายถึง Exit) ไปยังจุดต่างๆแต่เนื่องจากถนนวงแหวนของกรุงปารีสนั้นสร้างตามตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าซึ่งมี ‘ประตูเมือง’ ที่เรียกว่า “ป๊อกต์”Portes (City Gates) อยู่ถึงกว่า 30 แห่ง ทำให้ทางเข้าออกของถนนวงแหวนแห่งนี้ก็จะลงไปที่จุดประตูเมืองนั่นเอง เช่น ประตูคลีนองกูร์( Porte de Clignancourt , ประตูแบร์ซี่( Porte de Bercy) เป็นต้น และประตูที่อยู่ทางทิศเหนือใต้ออกตกก็จะเชื่อมออกสู่ถนนไฮเวย์ (Autoroute) ไปสู่ภูมิภาคซึ่งจะสังเกตว่า ชื่อของไฮเวย์สายต่างๆ จะใช้ A นำเพราะมาจากคำว่า Autoroute นั่นเอง เช่น A1, A2 ในขณะที่ประเทศอังกฤษใช้คำว่า Motorway ทางด่วนในอังกฤษก็เลยเป็น M นำหน้า เช่น M1, M2 (ดูภาพประกอบข้างล่าง)

City Break Paris Travel in Paris 1

แต่การพูดถึงถนนวงแหวน ผมก็ไม่ได้หมายถึงจะแนะนำหรือส่งเสริมให้เช่ารถนะครับ ยกเว้นมีโปรแกรมที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นต่อด้วย เพราะการจารจรในปารีสมันน่าอึดอัดใจอยู่โดยเฉพาะช่วงเร่งด่วน และการจอดรถนั้นก็ไม่ง่ายเลยยกเว้นว่าคุณจะยอมเสียเงินไปจอดตาม Private Parking ที่เก็บค่าจอดสูงพอควร ยิ่งถ้าจอดค้างคืนด้วยก็เสียค่าจอดคืนละไม่ต่ำกว่า 20-30 ยูโรแน่ๆ ส่วนที่จอดแบบมิเตอร์ข้างถนนนั้นเสี่ยงอยู่ ถ้าจอดในย่านไม่ดีกลับมาอาจโดนทุบกระจกหรือไม่ก็เจอรอยบุบตามกันชนหน้าหลัง เพราะที่ปารีสนั้นเขาจอดกันแบบพอดีคันจริงๆ (ดูรูปข้างล่าง) แล้วเวลาเข้าออกนั้นเขาก็จะขับดันคันหน้าออกไปหรือถอยดันคันหลังออกไปหน้าตาเฉย คุณต้องไปจ่ายค่า Excess ให้บริษัทรถเช่าแน่ๆ

City Break Paris Parking in Paris

แต่ที่เป็นเสน่ห์ของการจอดรถในปารีสก็มีนะครับ ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบิน แอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น (ดูรูปข้างล่าง: เจ้าหน้าที่เขียนใบสั่งของปารีสในยุคปี 80) แต่จริงๆ แล้วก็ไม่น่าจะต้องกังขาเพราะผู้ออกแบบเครื่องแบบดังกล่าวก็คือ Marie-Louise Carven เจ้าของแบรนด์ดังชื่อการ์วง Carven ที่เป็นห้องเสื้อระดับสูงเจ้าแรกที่ทำชุดสำเร็จรูป (Credit: Wikipedia..first couturieres to launch a prêt-à-porter line) Carven ยังออกแบบชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องของกว่า 20 สายการบินและชุดพนักงานรถไฟ ยูโรสตาร์อีกด้วย

City Break Paris Parking in Paris 1

สรุปก็คือการเช่ารถมาเที่ยวปารีสเป็นเรื่องน่ากังวลใจอยู่ จริงๆ แล้วปารีสคือเมืองที่เหมาะแก่การเดินเที่ยวมากที่สุดในโลกครับ และถ้าต้องการจะไปไหนที่มันไกลกว่าพิกัดการเดินแล้วก็ไม่ต้องกังวล เพราะตราบใดที่เราอยู่ในพื้นที่ด้านในกรอบถนนวงแหวนแล้วการไปไหนก็ไม่ยาก เพราะปารีสมีระบบรถไฟใต้ดินที่ทันสมัยเรียกว่าไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเขตภายในถนนวงแหวนนั้นคุณก็สามารถจะเดินหาสถานีรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า Metro ของที่นี่ได้ภายในระยะทางเดินไม่เกิน 600 เมตร แต่ถ้าเป็นย่านพลุกพล่านกลางเมืองจริงๆ ก็ไม่น่าเกิน 300 เมตรเลยทีเดียว สะดวกมาก ต้องขอพูดถึงซะหน่อย

Métro de Paris

City Break Paris Metro in Paris 2

Métro คือระบบรถไฟใต้ดินของกรุงปารีสอ่านว่า ‘เมะโทร’ย่อ มาจากคำว่า Métropolitain ที่แปลว่านครหลวงหรือมหานคร แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมาจากชื่อบริษัทแรกที่ทำการบริหารระบบรถไฟใต้ดินของมหานครแห่งนี้ที่ชื่อ La Compagnie du chemin de fer métropolitain de Paris หรือบริษัทการรถไฟแห่งนครปารีส ซึ่งก็เพราะชื่อยาวเหยียดแบบนี้คนปารีสหรือที่เรียกว่าปารีเซียน (Parisienne) นั้นก็เลยย่อให้เหลือแค่ Métro สั้นๆ

City Break Paris Metro in Paris 3

มันเริ่มก่อสร้างมากว่า100 ปีแล้วโดยแนวคิดมาตั้งแต่ปี 1845 ตอนแรกก็เพราะรถไฟบนดิน รถรางและรถยนต์สวนกันไ มาเริ่มมีอุบัติเหตุบ่อยประกอบกับรถไฟใต้ดินของเมืองคู่แข่งอย่างลอนดอน ที่มีชื่อเล่นว่า ‘The Tube’ นั้นก็เปิดใช้ประสบความสำเร็จเป็นระบบใต้ดินแห่งแรกของโลกตั้งแต่ปี 1863 ทำให้ปารีสไม่ยอมน้อยหน้ากำหนดเปิดรถไฟใต้ดินสายแรกในปี1889-1900 ซึ่งเป็นช่วงที่ปารีสได้เจ้าภาพจัดงานนิทรรศการสินค้านานาชาติที่เรียกว่า World’s Fair (Exposition Universelle) ซึ่งก็มีหอไอเฟลซึ่งตั้งใจสร้าง (โดย Gustave Eiffel) เพื่องานนี้โดยเฉพาะ เป็นไฮไลท์ และเนื่องจากยุคปี1900 นั้น เป็นยุคศิลปะแบบ Art Nouveau ซุ้มประตูลงรถฟใต้ดินของปารีสจึงถูกออกแบบในสไตล์ Art Nouveau โดยศิลปินที่ชื่อ Hector Guimard ปัจจุบันผลงานที่เป็นซุ้มประตู Metro ของเขาก็ยังมีเหลืออยู่ถึง 86 แห่งในปารีส

City Break Paris Metro in Paris 4

และรถไฟใต้ดินในปารีสนั้นก็ยังมีแนวคิดไม่ยึดติด เช่น เพื่อให้มีความนุ่มนวลในการเดินทาง ได้ออกแบบล้อให้เป็นแบบยางรถยนต์ไม่ได้ใช้ล้อเหล็กเหมือนรถไฟปกติ (เฉพาะในบางเส้นทาง) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลองใช้บริการ

City Break Paris Metro in Paris 1

ทุกวันนี้มีคนใช้รถไฟใต้ดินในปารีสเฉลี่ย 4.16 ล้านคนต่อวัน และปัจจุบันมี 16 สาย 303 สถานี โดยมีสถานีชุมทางใหญ่ที่เรียกว่า Correspondence อยู่ที่สถานี Châtelet – Les Halles ที่มีถึง 5 สายตัดผ่านที่นี่สำหรับการเชื่อมต่อ และยังมีระบบรถไฟชานเมืองที่เรียกว่าRER (Réseau Express Régional) ที่ไม่หยุดทุกสถานีเข้ามาเสริมระบบ Metro อีก 5 สาย A, B, C, D, E ซึ่งทำให้สะดวกยิ่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่นอกเขตถนนวงแหวน

รูปด้านล่างเป็นภาพการออกแบบปรับปรุงใหม่ของทางเข้า Forum des Halles ซึ่งเป็น Shopping Complex ที่เชื่อมต่อกับชุมทางรถไฟใต้ดินขนาดใหญ่ของกรุงปารีสคือ Châtelet – Les Halles

City Break Paris Metro in Paris Forum des Halles Chatelet – Les Halles

ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวปารีสก็มักจะมี Plan du metro หรือแผนที่รถไฟใต้ดินติดกระเป๋าไว้แทบจะเรียกว่า 8 ใน 10คนของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ แต่ของกรุงเทพฯยังไม่ต้องเพราะตอนนี้มีอยู่แค่ 2 สายเท่านั้น จำไม่ยาก

City Break Paris Travel in Paris 2

ตัวอย่างแผนที่ระบบการบริการสาธารณะด้านการเดินทางภายในถนนวงแหวน

ก่อนจะจบตอนนี้ อยากจะขอแนะนำสถานีรถไฟใต้ดินในปารีสที่สวยที่สุดสัก 5-6 สถานี เพราะ ช่วงหลังนี้แต่ละเมืองใหญ่ก็แข่งกันทำสถานีรถไฟใต้ดินของตัวเองให้สวยขึ้น เช่นที่สต็อคโฮม ประเทศสวีเดน ไม่ต้องพูดถึงกรุงมอสโคของประเทศรัสเซีย ที่มีสถานีรถไฟใต้ดินที่ดูแกรนด์ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว สำหรับในปารีส สถานีที่น่าสนใจ มีดังนี้

สถานีรถไฟใต้ดินที่น่าสนใจของกรุงปารีส

1.สถานี Louvre-Rivoli สถานีนี้เปิดใช้ตั้งแต่ปี 1900 มีการตกแต่งให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Louvre ตามชื่อของสถานี แต่เมื่อปี 1989 หลังจากที่มีการสร้างปิรามิดแก้วทางเข้าใหม่และทางเข้าอีกด้านจากทางสถานี Palais Royal ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นLouvre-Rivoli เพราะมีทางออกไปถนน Rivoli ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ที่ถือเป็นถนนสาย Shopping แบบ High Street ที่ใครๆก็ชอบเนื่องจากเป็นย่านที่ขายสินค้าในราคาพอเหมาะ

City Break Paris Metro in Paris Louvre Rivoli

 

2.สถานี Concorde ที่เป็นเสน่ห์ของการตกแต่งสถานีกองกอรด์ Concorde ก็คือผนังที่ปูกระเบื้อง (Tiled Walls) จริงๆ ทุกๆ สถานีของกรุงปารีสก็ใช้กระเบื้องปูผนังที่สวยอยู่แล้วแต่ที่นี่คิดรูปแบบโดย Françoise Schein’s เป็นรูปแบบคล้าย Words Puzzle หรือ Cross words ให้หาคำซึ่งจะเกี่ยวกับการประกาศสิทธิมนุษย์ชน Declaration of the Rights of Man ซึ่งเชื่อมโยงมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส เนื่องจากในปี 1989 ที่มีการตกแต่งกำแพงในสถานีนี้นั้นเป็นการฉลองครบรอบ 200 ปีของ French Revolution และจัตุรัสกองกอรด์ก็คือลานประหารชีวิตของผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายปฏิวัติในสมัยนั้น

City Break Paris Metro in Paris Concorde

 

3.สถานี Varenne สถานีนี้อยู่ในเขต 7 (7th arrondissement) ก็มีมุกคล้ายๆ สถานี Louvre ที่จำลองผลงานในพิพิธภัณฑ์มาตกแต่ง เพราะเนื่องจากสถานี Varenne นั้นอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์โรแดง Rodin Museum. ซึ่งRodin เองถือว่าเป็นบิดาแห่งประติมากรรมสมัยใหม่( Modern Sculpture ) เจ้าของผลงาน ‘นักคิด’หรือปงส์เซอร Le Penseur (The Thinker) ซึ่งมีการจำลองไว้ที่สถานีนี้พร้อมมีเรื่องราวบอกว่าที่จริง ประติมากรรมที่ชื่อปงส์เซอร นั้นเมื่อก่อนนี้ชื่อว่า “The Poet” เพราะตั้งใจจะให้หมายถึง Dante ยอดนักปราชญ์ของอิตาลี ดังนั้นหากถ้าเราไม่มีเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์โรแดงก็แอบไปselfieกับ‘นักคิด’ ท่านนี้ได้ที่สถานีนี้เลย

City Break Paris Metro in Paris Varenne

 

4.สถานี Cluny-La Sorbonne สถานีนี้อยู่ในย่าน ‘กาติเย่ ลาแตง’ในเขต5 (5th arrondissement) มีผลงานโมเสก (Mosaics)บนเพดานของ Jean Bazaine ที่ชื่อ Les Oiseaux (The Birds) นอกจากนั้นยังมีชื่อของผู้มีชื่อเสียงที่เคยอยู่ในย่านนี้มาก่อน เช่น Rabelais, Molière ฯลฯ สถานี Cluny-La Sorbonne เปิดครั้งแรกในปี 1930 ตั้งชื่อตามพิพิธภัณฑ์ ครูนี่ Musée de Cluny และมหาวิทยาลัย Sorbonne University

City Break Paris Metro in Paris Cluny La Sorbonne

 

5.สถานี Bastille Bastille Day (July 14th) คือวันชาติฝรั่งเศสและถือเป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ของประเทศ สถานีบาสตีล์ Bastilleนั้นตั้งอยู่ ณ บริเวณใดที่เคยเป็นคุกบาสตีล์ที่ขังนักโทษกบฎ และในวันที่14 กรกฎาคมของปี 1789 ก็เป็นวันที่ประชาชนปารีสหมดความอดทนกับระบอบการปกครองและความยากจน จึงมีการลุกฮือกันทำลายคุกนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสัญญาลักษณ์ของการปฎิวัติฝรั่งเศส ดังนั้นที่กำแพงของสถานีนี้จึงมีเรื่องราวในลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนฝรั่งเศส( Life-changing ) หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันเป็นผลงานของ Liliane Belembert และ Odile Jacquot มีทั้งหมด 5 ภาพเรียกว่าเหมือนได้เข้าโบสถ์ไปดูภาพ fresco ยังไงยังงั้นเลย

City Break Paris Metro in Paris Bastille

 

6.สถานี Arts et Metiers สถานีArts et Metiers เปิดครั้งแรกในปี 1904 แต่ถูกออกแบบใหม่ในปี 1994 เพื่อฉลองครบรอบ 200 ปีของการรักษาไว้ซึ่งศิลปหัตถกรรมของชาติ โดยการออกแบบใหม่นี้ตกแต่งให้สถานีเป็นเหมือนเรือดำน้ำที่ชื่อ นอติลุส (Nautilus)ในนวนิยายของ Jules Verne เรื่อง “ใต้ทะเล 20000 โยชน์” (20000 leagues under the sea) สถานีนี้ผมชอบมากที่สุด ถ้าคุณอยากไปดูให้นั่งสาย 3 หรือ11 จะผ่านสถานีนี้ครับ

City Break Paris Metro in Paris Arts et Metiers

เจอกันคราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงเขตหรือย่านที่น่าพิจารณาว่าเราควรจะเลือกจองที่พักเราในเขตไหนดี

City Break Paris Part I

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 1

By Paul Sansopone
“…..งานศิลปะแบบ Impressionist หรือผลงานยุคเริ่มต้นของ Van Gogh หรืองานภาพยนตร์ของ Roman Polanski, Woody Allen หรือผลงานภาพถ่ายของ David Hamilton, นวนิยายของ Ernest Hemingway คงไม่เกิดขึ้นมาง่ายๆ ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นที่นี่หรือการนำเอาปารีสมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผลงาน…..”

บทนำ Intro

City Break PARIS 7

Paris ปารี คือชื่อเมืองนี้ในภาษาฝรั่งเศส แต่ไม่ว่าจะเรียกว่า ‘ปารี’หรือ ‘ปารีส’ คือมันก็เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปินในแขนงไหน มีสไตล์แบบไหนหรือถูกจัดอยู่ในหมวดไหน Genres ไหน อยู่ใน Set หรือ Sub-set ไหน ถ้าคุณบอกไม่ชอบนั่นหมายถึงคุณปฏิเสธ คำที่อยู่ใน Key words เหล่านี้: Art, Beauty, Romance, Indulgence, Classic, Tastes, Ideal, Philosophy, History, Erotic, Desire, Design, Thought … Perfection, Practical……ก็คือไม่ว่าคุณจะโยนคำไหนเข้าไป คุณมักจะเจอมันได้ที่นี่ และถ้าเรายิ่งลงลึกไปอีกคือพยายามที่จะเข้าถึงมันอย่างจริงจัง เราก็ยิ่งต้องทึ่งกับเมืองนี้เข้าไปอีก มันเป็นเรื่อง‘วิธีคิด’ Process of Thinking แบบคน ฝรั่งเศส วิถีชีวิตและแนวคิดในการนำเสนอถือเป็น Chapter หนึ่งของอารยะธรรมตะวันตก ไม่แตกต่างจากที่ชาวกรีซหรือโรมันทำมาในอดีตกับเอเธนส์และโรม เพียงแต่มันเป็นคนละยุคสมัยเท่านั้นเอง โดดเด่นด้วยการวางผังเมืองของ Haussman มีการนำสถาปัตยกรรม และศิลปะมาใช้ในการออกแบบชนิดลงรายละเอียดกับอาคารสถานที่ทุกประเภทแม้แต่ที่อยู่อาศัย, เสาไฟฟ้า, สะพาน แม้แต่ป้ายชื่อถนนหรือป้ายทางลง Metro ซึ่งปกติในสมัยก่อนหน้านั้นรายละเอียดแบบนี้จะเน้นใช้กับโบสถ์หรือศาลากลางเมืองเท่านั้น มีการวาง Monumentหรืออนุสรณ์สถาน อนุสาวรีย์ที่เป็นผลงานศิลประดับโลกไว้ในทุกมุมถนน ที่แผ่กระจายไปไม่กระจุกตัว การเอาบรรยากาศของแม่น้ำเซนน์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการออกแบบสะพาน และPromenade ทางเดินริมน้ำ การทำถนนขนาดใหญ่รองรับอนาคตแล้วยังมีการวางระบบรถไฟใต้ดินแบบเส้นก๋วยเตี๋ยว (Noodle System) ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหนในใจกลางกรุงปารีสคุณจะเดินไม่เกิน 300 เมตร เพื่อไปยังป้ายตัว M หรือ Metro (รถไฟใต้ดิน)

City Break PARIS 11

แน่นอนว่าระบบสายไฟสายระโยงระยางทั้งหลายก็ลงใต้ดินหมด เพื่อให้ถนนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘เอฟเวอนู’ (Avenue) นั้นมีที่ว่างสำหรับต้นไม้ขนาดใหญ่แบบต้น Honey Locust, Horse Chestnut, Japanese Cherry, Linden Tree, สร้างความสวยงามแบบเปลี่ยนไปในแต่ละฤดู ไม่ต้องมีสายไฟมาทำลายบรรยากาศ และเวลาเขาคิดก็คิดให้จบเลยโดยคิดเผื่อว่าหากใบไม้ร่วงล่ะต้นไม้เป็นพันต้นจะทำความสะอาดไหวหรือใช้คนกวาดถนนกันกี่คนล่ะ เราจะเห็นว่าพอใบไม้ร่วงระบบทำความสะอาดของถนนในปารีสที่เราเห็นจะปล่อยน้ำให้ไหลจาก 2 ข้างทางให้พาเศษขยะใบไม้แห้งลงท่อระบายน้ำไปโดยใช้แรงโน้มถ่วงหรือ Gravity

City Break PARIS 8

งานศิลปะแบบ Impressionist หรือผลงานยุคเริ่มต้นของ Van Gogh หรืองานภาพยนตร์ของ Roman Polanski, Woody Allen หรือผลงานภาพถ่ายของ David Hamilton คงไม่เกิดขึ้นมาง่ายๆ ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นที่นี่หรือการนำเอาปารีสมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผลงาน

City Break PARIS 13

และข้อดีของเมืองหลวงแห่งนี้ก็คือไม่ว่าคุณจะมากี่ครั้งในรอบ 10 ปี 20 ปี มันจะไม่เปลี่ยนไปมาก มันไม่เหมือนกรุงเทพฯ ที่เราปรับเปลี่ยนตลอด เช่นตรงนี้เคยเป็นสถานทูตอังกฤษแต่ตอนนี้กลายเป็นห้างเซ็นทรัลแอมบาสซี่ไปแล้ว หรือหัวมุมถนนนี้นั้นถุกทุบทิ้งกลายเป็นคอนโดฯไปหมดแล้ว ตึกแถวสองข้างทางถนนเล็กๆ แบบโรแมนติกน่ารักก็โดนเวนคืน เพราะต้องขยายถนน หรือทำรถไฟฟ้า, รถไฟใต้ดิน หรือต้องวางท่อระบายน้ำขนาดใหญ่เพราะป้องกันน้ำท่วมและบางส่วนก็เริ่มขุดเอาสายไฟลงใต้ดิน ภาพของกรุงเทพเราเปลี่ยนไปตลอด แต่ที่ปารีสมันแถบจะไม่เปลี่ยน โดยเฉพาะอาคารสิ่งก่อสร้างถนนหนทางจะคงความคลาสิกแบบนั้นไปตลอด เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกวางแผนมาอย่างดีและไม่ระเบียบเข้มจากสำนักผังเมือง ไม่ให้ปรับเปลี่ยนง่ายๆ แต่เมืองมันกลับดูสมัยใหม่ล้ำหน้าเพราะความคลาสสิกนั้นจะถูกตัดกับความทันสมัยของการแต่ง Display หน้าร้านและโดยเฉพาะป้ายโฆษณาต่างๆ ซึ่งสวยทันสมัยเพราะมักเป็นโฆษณาของสินค้าแบรนด์เนมจึงเป็นโฆษณาที่ที่ใช้ต้นทุนสูงมีการออกแบบใช้นางแบบระดับท็อป หรือการแต่งกายของผู้คนตามถนน หรือบริการสาธารณะแบบรถเมล์ของปารีสที่ดูทันสมัยขึ้น และบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่อยู่บนท้องถนนของเมืองนี้

สุดท้ายก็คือฤดูที่เรามา นั่นคือสิ่งที่เราจะเห็นว่ามันเปลี่ยนไปแต่นอกนั้นแล้วคือปารีสเมืองเดิมที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ต้องมีคอนโดหรือศูนย์การค้าใหม่ๆ มา ชาวปารีสไม่ต้องการหากจะมีก็คงต้องอยู่ในย่านที่ถูกกำหนดไว้ให้เท่านั้นเช่นย่าน La Défense ซึ่งอนุญาตให้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เกิดขึ้นได้ อย่าง Background ของภาพข้างล่างนี้

City Break PARIS 10

ความทรงจำเกี่ยวกับปารีส

City Break PARIS 6

ในตอนแรกนี้ผมจะขอพูดถึง First Impression ของผมเมื่อครั้งมาปารีสครั้งแรกก่อน ซึ่งอาจไม่เหมือนใคร หลายคนอาจบอกว่าประทับใจปารีสก็ตอนเมื่อได้เห็นหอไอเฟลหรือประตูชัยฯ แต่ผมกลับเริ่มประทับใจตั้งแต่ด่านแรกเลย มันคือสนามบินปารีสครับ…ผมมาปารีสครั้งแรกในสมัยปี 1980 โดยการบินไทย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่นิยมบินตรงหรืออาจเป็นเพราะประสิทธิภาพของเครื่องที่ใช้บิน Long haul ในยุคนั้นยังบินรวดเดียวได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมง มันเป็นเพราะเครื่องยนต์รุ่นเก่ายังไม่ประหยัดน้ำมันนักกับการออกแบบปีก ยังไม่ถึงยุคของ Winglets ที่เป็นปีกเล็กๆ ที่งอขึ้นตรงปลายปีกของเครื่องยุคใหม่ ที่จะช่วยเรื่องแอโรไดนามิก ทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง ในขณะที่ Airframe ก็ยังไม่ใช้วัสดุเบาแบบ Composite ทำให้เครื่องยังหนักอยู่ ทำนองนั้น
จำได้ว่าแวะจอดที่เอเธนส์ก่อนแล้วจึงบินต่อมาลงสนามบิน Charles de Gaulle(CDG) ซึ่งก็ได้มาพบกับอาคารปูนเปลือยทรงกลม 11 ชั้นที่เป็น Terminal 1 ของสนามบินนี้ซึ่งหลายคนบอกว่าเหมือนยานอวกาศ Space Ship หรือจานบิน UFO บ้างก็ว่าคล้ายเป็นสถานีอวกาศ Space Station ต้องยกเครดิตให้ผู้ออกแบบที่ชื่อ Paul Andreu ที่นำเสนอ Concept แบบ Avant-garde Design ก็คือล้ำยุค แหวกกฎ จากการออกแบบอาคารสนามบินในยุคนั้น บางท่านท่านอาจโต้แย้งว่าไม่เห็นจะล้ำสมัยตรงไหน แต่อย่าลืมว่าการออกแบบของเขาเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายยุค’60 หรือตอนที่เขาอายุ 29 ปีมีความคิดแบบคนวัยหนุ่มเต็มที่มาถึงตอนนี้ 50 ปีให้หลังอาจจะดูธรรมดาไปหรือเก่าไปแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าในยุคนั้นล้ำสมัยเอามากๆ มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ใช้ฉากถ่ายทำที่นี่ เช่นเรื่อง Airport ’79 ที่ Alain Delon พระเอกรูปหล่อชาวฝรั่งเศสเล่นเป็นกัปตันเครื่อง Concord แล้วมี Sylvia Kristel นางเอกฝรั่งเศสจากภาพยนตร์ดังแห่งยุคนั้นเรื่อง Emmanuelle มารับบทเป็น Stewardess บนเครื่อง หรือหนังที่ผมชอบมากเกี่ยวกับปารีสอีกเรื่องก็คือ Frantic สร้างโดย Roman Polanski แสดงโดย Harrison Ford

City Break PARIS 4

อาคารแห่งนี้เป็นอาคารทรงกลม 11 ชั้นที่ดูเหมือนรวมทุกฟังชั่นไว้ทุกอย่างในอาคารเดียวกันแต่ไม่ใช่ มันประกอบด้วยอาคารย่อยที่เรียกว่า Satellite ที่มี 7 อาคารอยู่รอบๆ อาคารหลักทำหน้าที่เป็นอาคารที่ใช้ให้เครื่องจอดเทียบท่าและใช้Holding และBoarding ผู้โดยสารซึ่งเชื่อมกับอาคารหลักทรงกลมด้วยทางเลื่อนมุดไปใต้ดิน (Underground Walkways)มันให้ความรู้สึกล้ำยุคมาก โดยเฉพาะหากเรามาลงที่ CDG1 ในสมัยก่อนโน้น พอออกมาจากทางเลื่อนใต้ดินก็จะเจอกับทางเลื่อนหลอดแก้วแบบบนยานอวกาศที่เรียกว่า Sky Tube สวนกันไปมา เพราะ Sky Tube เหล่านี้จะอยู่ตรงใจกลางของอาคารที่เปิดโล่งเป็นรูเหมือนโดนัท เพื่อให้แสงเข้าเป็นแบบ Skylight แต่แบบไม่มีหลังคากระจกนะครับ นั่นหมายถึงเมื่อหิมะตก หรือฝนตกเราก็จะได้สัมผัสบรรยากาศโรแมนติกแบบนั้น เหมือนนั่งรถยนต์มี Moon Roof หรือ Panoramic Roof ยังงั้นเลย ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปจากประเทศอื่นจากปารีสหรือผู้โดยสารที่มาจากนานาประเทศที่มาเที่ยวปารีสก็จะได้บรรยากาศนี้เหมือนกันครับ ต้องยอมรับใน Concept และIdeaที่ไม่เหมือนใคร

City Break PARIS 5

City Break PARIS 2

ในขณะที่ Terminal 2 นั้นก็ออกแบบโดยคนเดียวกันนี้แหละครับ แต่มี Concept ที่แตกต่างอีกเช่นกันไม่เหมือนสนามบินไหนในโลก เพราะวัตถุประสงค์คือต้องการให้ระยะทางเดินลงจากเครื่องคือออกจากงวงหรือ air bridge มาก็ผ่าน ตรวจคนเข้าเมืองรับกระเป๋าแล้วเรียก Taxi เข้าเมืองได้เลย เหมาะสำหรับ Flight Domestic ของ EU ด้วยกันที่ไม่ต้องใช้ Visa เข้าเมืองแต่สำหรับที่ต้องใช้ก็เข้าคิวเหมือนปกติ ปัจจุบัน Terminal 2 นั้นเปลี่ยนไปมากแล้วมี Sub Terminal 7 อาคาร เป็น 2A-2G แถมยังมี Terminal 3 ขึ้นมาอีกสำหรับ Low Cost Airline วุ่นวายกว่าเดิมมากแล้วก็ไม่ค่อยได้รับคำชมจาก Users Review เอาเลย เพราะความที่รูปแบบไม่เหมือนสนามบินไหนๆ ไม่ User Friendly ผู้โดยสารที่ต่อเครื่องตกเครื่องบ่อย มันเลยทำให้มีการวิจารณ์การออกแบบของฝรั่งเศสว่าเป็นลักษณะที่ไม่ใช่ Form Follow Function แต่กลายเป็นว่า Form หรือรูปทรงต้องสวยเท่ห์ไว้ก่อน Function ค่อยว่ากันทีหลัง

City Break PARIS 3

พูดถึงเรื่องออกแบบก็อดจะพูดถึงรถยนต์ฝรั่งเศสไม่ได้ ต้องขอบอกว่าว่าฝรั่งเศสเป็นชาติที่มีความก้าวหน้าเรื่องวิศวกรรมในอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าเครื่องบินหรือรถยนต์ก็ถือเป็นชาติแรกๆ ที่พัฒนาเครื่องยนต์เครื่องจักรเหล่านี้ขึ้นมาแต่ความที่มีแนวคิดเรื่องการออกแบบรูปทรงไม่เหมือนชาติไหนๆ ทำให้รถฝรั่งเศสนั้นขายไม่ดีในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นรถ ซีโตเอ่น,เรโนลด์หรือเปอโญต์ ทั้งที่มีอยู่ยุคหนึ่ง ช่วงปี 70-80 รถฝรั่งเศสก็โดดเด่นมาก โดยเฉพาะ Citroën รุ่น DS ต่อด้วยรุ่น CX ที่มีแนวคิดระบบกันสะเทือนที่ไม่เหมือนใคร ใช้ระบบไฮโดรลิกที่นอกจากนุ่มนวลแล้วยังใช้ยกตัวถังให้สูงหนีน้ำท่วมในกรุงเทพฯได้อีกต่างหาก ส่วนเปอโญต์รุ่น 504,505,405 ก็ได้ชื่อว่ามีความอึดแข็งแรงทนทาน

แต่ข้อดีของความก้าวหน้าล้ำยุคของการออกแบบของฝรั่งเศสที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนก็ส่งผลทำให้เป็นผู้นำในด้านการแฟชั่นเครื่องแต่งกาย และอีกหลายด้านที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม งานศิลปะ ซึ่งน่าชื่นชมและศึกษายิ่งนัก

ผมจะพาท่านไปสัมผัสกับปารีสในแบบที่เราควรจะรู้จัก ไม่ว่าเรื่องดื่ม, กิน, เที่ยว, ซื้อ, รู้จัก, ลอง ฯลฯ ในสไตล์ของ City Break Series ต่อจาก New York และRome ครับ