City Break Paris Part II

เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 2
By Paul Sansopone

…..“ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบินแอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น……”

การเดินทางในกรุงปารีส
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่องการเลือกย่านหรือเขตที่เหมาะกับการใช้เป็นที่พักพิงในปารีสนั้น เราควรรู้ก่อนว่าเราจะไปไหนมาไหนแบบเที่ยวให้ทั่วอย่างไร เพราะปารีสเป็นมหานครที่กว้างใหญ่กินอาณาเขตกว่า 100 ตารางกิโลเมตร ถ้ารวมเขตปริมณฑลด้วยยิ่งแผ่อาณาเขตไปไกลมาก ถ้าอยู่ขอบนอกจะเดินทางเข้ามาเที่ยวแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เช่นมีครั้งหนึ่งผมเคยไปอยู่เขต อังโตนี่ (Antony) ห่างออกไปทางใต้ของปารีสแค่ 10 กว่ากิโล ฟังดูเหมือนไม่ไกล แต่การเดินทางใช้เวลามากเพราะกว่าจะเดินไปสถานีรถไฟ RER แบบรถชานเมืองที่มีตารางเข้าออกไม่บ่อยนักในสมัยนั้น ก็ใช้เวลานานอยู่
ดังนั้นถ้าถามว่าถ้าเราจะไปเที่ยวปารีสให้สนุกนั้น หากมีเวลาไม่มากก็ควรอยู่ในตัวเมืองครับ แล้วที่ไหนล่ะที่เรียกว่าตัวเมือง ปกติถ้าเป็นเมืองต่างๆ ในยุโรปก็ต้องบอกว่าก็ต้องบอกว่าอยู่ในเขตเมืองเก่าหรือภายในเขต City Wall แต่ถ้าเป็นปารีสก็ต้องบอกว่าจุดไหนก็ได้ที่อยู่ภายในเขตถนนวงแหวนของกรุงปารีสที่เรียกว่า “เปริเฟฮริก “(Périphérique) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Périph ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1958 ตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าบางส่วนของกรุงปารีส ซึ่งถ้าเราขับรถวิ่งไปครบรอบวงแหวนนี้จะได้ระยะทางทั้งสิ้น 35.04 กิโลเมตร ใช้เวลา 30 นาที เพราะต้องวิ่งตามความเร็วจำกัดของถนนวงแหวนนี้ก็คือ 70 กม.ต่อชั่วโมง

City Break Paris Travel in Paris

โดยปกติถ้าเป็นถนนวงแหวนหรือถนนไฮเวย์แบบนี้ก็จะมีทางออกที่เรียกว่า “ซ็อกตี” Sortie (หมายถึง Exit) ไปยังจุดต่างๆแต่เนื่องจากถนนวงแหวนของกรุงปารีสนั้นสร้างตามตามแนวเขตกำแพงเมืองเก่าซึ่งมี ‘ประตูเมือง’ ที่เรียกว่า “ป๊อกต์”Portes (City Gates) อยู่ถึงกว่า 30 แห่ง ทำให้ทางเข้าออกของถนนวงแหวนแห่งนี้ก็จะลงไปที่จุดประตูเมืองนั่นเอง เช่น ประตูคลีนองกูร์( Porte de Clignancourt , ประตูแบร์ซี่( Porte de Bercy) เป็นต้น และประตูที่อยู่ทางทิศเหนือใต้ออกตกก็จะเชื่อมออกสู่ถนนไฮเวย์ (Autoroute) ไปสู่ภูมิภาคซึ่งจะสังเกตว่า ชื่อของไฮเวย์สายต่างๆ จะใช้ A นำเพราะมาจากคำว่า Autoroute นั่นเอง เช่น A1, A2 ในขณะที่ประเทศอังกฤษใช้คำว่า Motorway ทางด่วนในอังกฤษก็เลยเป็น M นำหน้า เช่น M1, M2 (ดูภาพประกอบข้างล่าง)

City Break Paris Travel in Paris 1

แต่การพูดถึงถนนวงแหวน ผมก็ไม่ได้หมายถึงจะแนะนำหรือส่งเสริมให้เช่ารถนะครับ ยกเว้นมีโปรแกรมที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นต่อด้วย เพราะการจารจรในปารีสมันน่าอึดอัดใจอยู่โดยเฉพาะช่วงเร่งด่วน และการจอดรถนั้นก็ไม่ง่ายเลยยกเว้นว่าคุณจะยอมเสียเงินไปจอดตาม Private Parking ที่เก็บค่าจอดสูงพอควร ยิ่งถ้าจอดค้างคืนด้วยก็เสียค่าจอดคืนละไม่ต่ำกว่า 20-30 ยูโรแน่ๆ ส่วนที่จอดแบบมิเตอร์ข้างถนนนั้นเสี่ยงอยู่ ถ้าจอดในย่านไม่ดีกลับมาอาจโดนทุบกระจกหรือไม่ก็เจอรอยบุบตามกันชนหน้าหลัง เพราะที่ปารีสนั้นเขาจอดกันแบบพอดีคันจริงๆ (ดูรูปข้างล่าง) แล้วเวลาเข้าออกนั้นเขาก็จะขับดันคันหน้าออกไปหรือถอยดันคันหลังออกไปหน้าตาเฉย คุณต้องไปจ่ายค่า Excess ให้บริษัทรถเช่าแน่ๆ

City Break Paris Parking in Paris

แต่ที่เป็นเสน่ห์ของการจอดรถในปารีสก็มีนะครับ ที่ผมชอบก็คือพนักงานเขียนใบสั่ง (Traffic Warden) จะขยันมาตรวจว่าเราหยอดมิเตอร์ถูกต้องหรือไม่ พวกเธอแต่งตัวยูนิฟอร์มสีฟ้าใส่หมวกเก๋ไก๋ นึกว่าเป็นแอร์โอสเตสสายการบิน แอร์ฟรานซ์ เรียกว่าไม่เสียชื่อเมืองแฟชั่น (ดูรูปข้างล่าง: เจ้าหน้าที่เขียนใบสั่งของปารีสในยุคปี 80) แต่จริงๆ แล้วก็ไม่น่าจะต้องกังขาเพราะผู้ออกแบบเครื่องแบบดังกล่าวก็คือ Marie-Louise Carven เจ้าของแบรนด์ดังชื่อการ์วง Carven ที่เป็นห้องเสื้อระดับสูงเจ้าแรกที่ทำชุดสำเร็จรูป (Credit: Wikipedia..first couturieres to launch a prêt-à-porter line) Carven ยังออกแบบชุดพนักงานต้อนรับบนเครื่องของกว่า 20 สายการบินและชุดพนักงานรถไฟ ยูโรสตาร์อีกด้วย

City Break Paris Parking in Paris 1

สรุปก็คือการเช่ารถมาเที่ยวปารีสเป็นเรื่องน่ากังวลใจอยู่ จริงๆ แล้วปารีสคือเมืองที่เหมาะแก่การเดินเที่ยวมากที่สุดในโลกครับ และถ้าต้องการจะไปไหนที่มันไกลกว่าพิกัดการเดินแล้วก็ไม่ต้องกังวล เพราะตราบใดที่เราอยู่ในพื้นที่ด้านในกรอบถนนวงแหวนแล้วการไปไหนก็ไม่ยาก เพราะปารีสมีระบบรถไฟใต้ดินที่ทันสมัยเรียกว่าไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเขตภายในถนนวงแหวนนั้นคุณก็สามารถจะเดินหาสถานีรถไฟใต้ดินที่เรียกว่า Metro ของที่นี่ได้ภายในระยะทางเดินไม่เกิน 600 เมตร แต่ถ้าเป็นย่านพลุกพล่านกลางเมืองจริงๆ ก็ไม่น่าเกิน 300 เมตรเลยทีเดียว สะดวกมาก ต้องขอพูดถึงซะหน่อย

Métro de Paris

City Break Paris Metro in Paris 2

Métro คือระบบรถไฟใต้ดินของกรุงปารีสอ่านว่า ‘เมะโทร’ย่อ มาจากคำว่า Métropolitain ที่แปลว่านครหลวงหรือมหานคร แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมาจากชื่อบริษัทแรกที่ทำการบริหารระบบรถไฟใต้ดินของมหานครแห่งนี้ที่ชื่อ La Compagnie du chemin de fer métropolitain de Paris หรือบริษัทการรถไฟแห่งนครปารีส ซึ่งก็เพราะชื่อยาวเหยียดแบบนี้คนปารีสหรือที่เรียกว่าปารีเซียน (Parisienne) นั้นก็เลยย่อให้เหลือแค่ Métro สั้นๆ

City Break Paris Metro in Paris 3

มันเริ่มก่อสร้างมากว่า100 ปีแล้วโดยแนวคิดมาตั้งแต่ปี 1845 ตอนแรกก็เพราะรถไฟบนดิน รถรางและรถยนต์สวนกันไ มาเริ่มมีอุบัติเหตุบ่อยประกอบกับรถไฟใต้ดินของเมืองคู่แข่งอย่างลอนดอน ที่มีชื่อเล่นว่า ‘The Tube’ นั้นก็เปิดใช้ประสบความสำเร็จเป็นระบบใต้ดินแห่งแรกของโลกตั้งแต่ปี 1863 ทำให้ปารีสไม่ยอมน้อยหน้ากำหนดเปิดรถไฟใต้ดินสายแรกในปี1889-1900 ซึ่งเป็นช่วงที่ปารีสได้เจ้าภาพจัดงานนิทรรศการสินค้านานาชาติที่เรียกว่า World’s Fair (Exposition Universelle) ซึ่งก็มีหอไอเฟลซึ่งตั้งใจสร้าง (โดย Gustave Eiffel) เพื่องานนี้โดยเฉพาะ เป็นไฮไลท์ และเนื่องจากยุคปี1900 นั้น เป็นยุคศิลปะแบบ Art Nouveau ซุ้มประตูลงรถฟใต้ดินของปารีสจึงถูกออกแบบในสไตล์ Art Nouveau โดยศิลปินที่ชื่อ Hector Guimard ปัจจุบันผลงานที่เป็นซุ้มประตู Metro ของเขาก็ยังมีเหลืออยู่ถึง 86 แห่งในปารีส

City Break Paris Metro in Paris 4

และรถไฟใต้ดินในปารีสนั้นก็ยังมีแนวคิดไม่ยึดติด เช่น เพื่อให้มีความนุ่มนวลในการเดินทาง ได้ออกแบบล้อให้เป็นแบบยางรถยนต์ไม่ได้ใช้ล้อเหล็กเหมือนรถไฟปกติ (เฉพาะในบางเส้นทาง) ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลองใช้บริการ

City Break Paris Metro in Paris 1

ทุกวันนี้มีคนใช้รถไฟใต้ดินในปารีสเฉลี่ย 4.16 ล้านคนต่อวัน และปัจจุบันมี 16 สาย 303 สถานี โดยมีสถานีชุมทางใหญ่ที่เรียกว่า Correspondence อยู่ที่สถานี Châtelet – Les Halles ที่มีถึง 5 สายตัดผ่านที่นี่สำหรับการเชื่อมต่อ และยังมีระบบรถไฟชานเมืองที่เรียกว่าRER (Réseau Express Régional) ที่ไม่หยุดทุกสถานีเข้ามาเสริมระบบ Metro อีก 5 สาย A, B, C, D, E ซึ่งทำให้สะดวกยิ่งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่นอกเขตถนนวงแหวน

รูปด้านล่างเป็นภาพการออกแบบปรับปรุงใหม่ของทางเข้า Forum des Halles ซึ่งเป็น Shopping Complex ที่เชื่อมต่อกับชุมทางรถไฟใต้ดินขนาดใหญ่ของกรุงปารีสคือ Châtelet – Les Halles

City Break Paris Metro in Paris Forum des Halles Chatelet – Les Halles

ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวปารีสก็มักจะมี Plan du metro หรือแผนที่รถไฟใต้ดินติดกระเป๋าไว้แทบจะเรียกว่า 8 ใน 10คนของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ แต่ของกรุงเทพฯยังไม่ต้องเพราะตอนนี้มีอยู่แค่ 2 สายเท่านั้น จำไม่ยาก

City Break Paris Travel in Paris 2

ตัวอย่างแผนที่ระบบการบริการสาธารณะด้านการเดินทางภายในถนนวงแหวน

ก่อนจะจบตอนนี้ อยากจะขอแนะนำสถานีรถไฟใต้ดินในปารีสที่สวยที่สุดสัก 5-6 สถานี เพราะ ช่วงหลังนี้แต่ละเมืองใหญ่ก็แข่งกันทำสถานีรถไฟใต้ดินของตัวเองให้สวยขึ้น เช่นที่สต็อคโฮม ประเทศสวีเดน ไม่ต้องพูดถึงกรุงมอสโคของประเทศรัสเซีย ที่มีสถานีรถไฟใต้ดินที่ดูแกรนด์ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว สำหรับในปารีส สถานีที่น่าสนใจ มีดังนี้

สถานีรถไฟใต้ดินที่น่าสนใจของกรุงปารีส

1.สถานี Louvre-Rivoli สถานีนี้เปิดใช้ตั้งแต่ปี 1900 มีการตกแต่งให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Louvre ตามชื่อของสถานี แต่เมื่อปี 1989 หลังจากที่มีการสร้างปิรามิดแก้วทางเข้าใหม่และทางเข้าอีกด้านจากทางสถานี Palais Royal ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นLouvre-Rivoli เพราะมีทางออกไปถนน Rivoli ด้านข้างพิพิธภัณฑ์ที่ถือเป็นถนนสาย Shopping แบบ High Street ที่ใครๆก็ชอบเนื่องจากเป็นย่านที่ขายสินค้าในราคาพอเหมาะ

City Break Paris Metro in Paris Louvre Rivoli

 

2.สถานี Concorde ที่เป็นเสน่ห์ของการตกแต่งสถานีกองกอรด์ Concorde ก็คือผนังที่ปูกระเบื้อง (Tiled Walls) จริงๆ ทุกๆ สถานีของกรุงปารีสก็ใช้กระเบื้องปูผนังที่สวยอยู่แล้วแต่ที่นี่คิดรูปแบบโดย Françoise Schein’s เป็นรูปแบบคล้าย Words Puzzle หรือ Cross words ให้หาคำซึ่งจะเกี่ยวกับการประกาศสิทธิมนุษย์ชน Declaration of the Rights of Man ซึ่งเชื่อมโยงมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส เนื่องจากในปี 1989 ที่มีการตกแต่งกำแพงในสถานีนี้นั้นเป็นการฉลองครบรอบ 200 ปีของ French Revolution และจัตุรัสกองกอรด์ก็คือลานประหารชีวิตของผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายปฏิวัติในสมัยนั้น

City Break Paris Metro in Paris Concorde

 

3.สถานี Varenne สถานีนี้อยู่ในเขต 7 (7th arrondissement) ก็มีมุกคล้ายๆ สถานี Louvre ที่จำลองผลงานในพิพิธภัณฑ์มาตกแต่ง เพราะเนื่องจากสถานี Varenne นั้นอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์โรแดง Rodin Museum. ซึ่งRodin เองถือว่าเป็นบิดาแห่งประติมากรรมสมัยใหม่( Modern Sculpture ) เจ้าของผลงาน ‘นักคิด’หรือปงส์เซอร Le Penseur (The Thinker) ซึ่งมีการจำลองไว้ที่สถานีนี้พร้อมมีเรื่องราวบอกว่าที่จริง ประติมากรรมที่ชื่อปงส์เซอร นั้นเมื่อก่อนนี้ชื่อว่า “The Poet” เพราะตั้งใจจะให้หมายถึง Dante ยอดนักปราชญ์ของอิตาลี ดังนั้นหากถ้าเราไม่มีเวลาเข้าพิพิธภัณฑ์โรแดงก็แอบไปselfieกับ‘นักคิด’ ท่านนี้ได้ที่สถานีนี้เลย

City Break Paris Metro in Paris Varenne

 

4.สถานี Cluny-La Sorbonne สถานีนี้อยู่ในย่าน ‘กาติเย่ ลาแตง’ในเขต5 (5th arrondissement) มีผลงานโมเสก (Mosaics)บนเพดานของ Jean Bazaine ที่ชื่อ Les Oiseaux (The Birds) นอกจากนั้นยังมีชื่อของผู้มีชื่อเสียงที่เคยอยู่ในย่านนี้มาก่อน เช่น Rabelais, Molière ฯลฯ สถานี Cluny-La Sorbonne เปิดครั้งแรกในปี 1930 ตั้งชื่อตามพิพิธภัณฑ์ ครูนี่ Musée de Cluny และมหาวิทยาลัย Sorbonne University

City Break Paris Metro in Paris Cluny La Sorbonne

 

5.สถานี Bastille Bastille Day (July 14th) คือวันชาติฝรั่งเศสและถือเป็นวันสำคัญของประวัติศาสตร์ของประเทศ สถานีบาสตีล์ Bastilleนั้นตั้งอยู่ ณ บริเวณใดที่เคยเป็นคุกบาสตีล์ที่ขังนักโทษกบฎ และในวันที่14 กรกฎาคมของปี 1789 ก็เป็นวันที่ประชาชนปารีสหมดความอดทนกับระบอบการปกครองและความยากจน จึงมีการลุกฮือกันทำลายคุกนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นสัญญาลักษณ์ของการปฎิวัติฝรั่งเศส ดังนั้นที่กำแพงของสถานีนี้จึงมีเรื่องราวในลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนฝรั่งเศส( Life-changing ) หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันเป็นผลงานของ Liliane Belembert และ Odile Jacquot มีทั้งหมด 5 ภาพเรียกว่าเหมือนได้เข้าโบสถ์ไปดูภาพ fresco ยังไงยังงั้นเลย

City Break Paris Metro in Paris Bastille

 

6.สถานี Arts et Metiers สถานีArts et Metiers เปิดครั้งแรกในปี 1904 แต่ถูกออกแบบใหม่ในปี 1994 เพื่อฉลองครบรอบ 200 ปีของการรักษาไว้ซึ่งศิลปหัตถกรรมของชาติ โดยการออกแบบใหม่นี้ตกแต่งให้สถานีเป็นเหมือนเรือดำน้ำที่ชื่อ นอติลุส (Nautilus)ในนวนิยายของ Jules Verne เรื่อง “ใต้ทะเล 20000 โยชน์” (20000 leagues under the sea) สถานีนี้ผมชอบมากที่สุด ถ้าคุณอยากไปดูให้นั่งสาย 3 หรือ11 จะผ่านสถานีนี้ครับ

City Break Paris Metro in Paris Arts et Metiers

เจอกันคราวหน้าเราจะมาคุยกันถึงเขตหรือย่านที่น่าพิจารณาว่าเราควรจะเลือกจองที่พักเราในเขตไหนดี

City Break Rome Part VIII

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่มาโรม หลายครั้งแล้ว (ต่อ)
โดย Paul Sansopone

คราวที่แล้วเป็นการแนะนำ Day Trip แบบไปเที่ยวนอกกรุงโรม แต่คราวนี้จะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบเดินทางคือยังอยากอยู่ในตัวเมืองแต่ก็อยากดูอะไรที่ไม่ใช่พื้นฐานมากเพราะไปมาหมดแล้ว
ผมคิดว่าถ้างั้นก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการไปเที่ยวชมสิ่งที่โรมเป็นมากว่า 2000 ปี นั่นก็คือการเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนา ทำให้ที่นี่มีโบสถ์วิหารอยู่กว่า 4,000 แห่งเลยทีเดียวซึ่งการเที่ยววัดต่างๆ ในโรมถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก คงเหมือนเราไปเที่ยวอยุธยาหรือเชียงใหม่แม้แต่กรุงเทพฯ เพราะเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนา อย่าลืมว่าการไปเที่ยววัดนั้นมันได้ทั้งด้านประวัติศาสตร์ เรื่องราวทางศาสนา และยังเป็นผลพลอยได้สำหรับผู้ที่หลงใหลงานศิลปะ เพราะวัดดังๆในสมัยก่อนเมื่อสร้างขึ้นก็ต้องเรียกศรัทธาโดยเกณฑ์บรรดาช่างฝีมือนักปั้นนักวาดมาแสดงฝีมือกันเต็มที่ ทำให้ใครมาถึงวัดนั้นๆ ก็ต้องทึ่งกันไป ดังนั้นการไปเที่ยวชมวัดชมโบสถ์ในโรมถือเป็นอะไรที่น่าสนใจทีเดียว เพราะจะได้ดูงานศิลปะระดับอาจารย์ไปในตัว

City Break ROME Italy 2

เราหาผลงานของบรรดาอัจฉริยะในด้านงานศิลปะอย่าง Andrea Mantegna, Caravaggio, Raphael, Michelangelo กับงานยุคของเรเนซองส์หรือยุคถัดมาคือยุคบาโร๊ค Baroque ได้จากวัดต่างๆใน Rome แน่นอนว่าวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือวิหาร St. Peter’s Basilica ที่อยู่ตรงวาติกัน แต่เนื่องจากใครๆ ก็รู้จักที่นั่นดีแล้ว ผมจึงขอแนะนำโบสถ์วิหารที่สุดยอดดังต่อไปนี้เป็นทางเลือก เพราะทำให้ท่านทึ่งและประทับใจได้ไม่ต่างกันในด้านศิลปะภายในโบสถ์และสถาปัตยกรรมด้านนอก

Santa Maria in Cosmedin
City Break ROME Italy Santa Maria in Cosmedin

เริ่มต้นด้วยการแนะนำวัด Santa Maria in Cosmedin เป็นวัดในยุคกลางที่โดดเด่นอยู่ทางใต้ของจัตุรัสPiazza Bocca della Verità ก่อสร้างในปี 772 เสร็จประมาณปี 1124 ความสมบูรณ์แบบของงานด้านสถาปัตยกรรมนั้นเป็นที่ยอมรับแต่ผู้คนมาที่นี่กลับไม่ได้สนใจมาก เพราะต้องการแค่จะมาถ่ายรูปกับ Bocca della Verità หรือ The Mouth of Truth โดยตำนาน(Myth) กล่าวว่าหนุ่มสาวจะสาบานกันก่อนตกลงเป็นคู่รักกันต่อหน้า‘ปากแห่งความจริงใจ’ นี้ โดยเอามือใส่ไว้ในปากหากพูดไม่จริงใจหรือโกหกก็จะเอามือออกมาไม่ได้ก็ได้ผลดีนะครับเป็น Marketing ระดับโลกที่ทำให้คนมาเที่ยวที่นี่กันเยอะเลย
City Break ROME Italy Santa Maria in Cosmedin 1

วัด Santa Maria in Cosmedin

 

The Basilica di Santa Maria Maggiore วิหารซานตามารีอา มาญญอเร่

ที่นี่คือวิหารที่ใหญ่ที่สุดของโรม (อย่าลืมว่าSt.Peterนั้นอยู่ในวาติกัน) ที่นี่คือโบสถ์แม่ถือเป็นโบสถ์แคทอลิกที่สำคัญที่สุดสร้างครั้งแรกเมื่อประมาณปี 440 ในศตวรรษที่ 5 มีศิลปะโมเสสหาดูยากเล่าเรื่องตามคัมภีร์เก่า Old Testament ถึง 36 เรื่องราวแต่ก็มีการปรับเปลี่ยนบูรณะมาตามยุคสมัยจนในช่วงศตวรรษที่ 18 ก็เสริมความวิจิตรแบบ Baroque (การ Remodel, Rebuiltเช่นเดียวกับโบสถ์หลายๆ แห่งในโรมที่ยุคแรกสร้างมานับ 1,000 ปีแล้วแต่รูปแบบธรรมดาเกินไป และเสื่อมโทรมมาก คริสตจักรโดยสันตะปาปาในแต่ละยุคสมัยก็จะเกณฑ์ช่างฝีมือมาประยุคใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย ถ้าหากเป็นสันตะปาปาในช่วงยุคเรเนซองส์เป็นผู้ดำริให้ทำศิลปะก็ออกมาเป็นแบบเรเนซองส์ ถ้าเป็นยุคใหม่หน่อยก็อาจเป็นแบบบาโร๊ค) ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 6โมงครึ่ง แต่ถ้าจะเข้าชมส่วนพิพิธภัณฑ์จะเสียเงินคนละ €4

City Break ROME Italy The Basilica di Santa Maria Maggiore 1

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับห่างจากสถานีรถไฟ Termini ไปไม่ไกล Piazza Santa Maria Maggiore, Rome, Latium, 00185,
Tel. 06-69886802

 

San Lorenzo Fuori le Mura ซาน ลอเรนโซ่ ฟูโอรี่ เลมูร่า

City Break ROME Italy San Lorenzo Fuori le Mura 1

จริงๆ แล้วโบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นนอกกำแพงกรุงโรมในสมัยจักรพรรดิ Constantine ซึ่งท่านได้สร้างคร่อมหลุมฝังศพของนักบุญ St. Lawrence ผู้ที่พยายามเผยแพร่คริสต์ศาสนาในโรมในยุคแรกเริ่มและจบด้วยการโดนตรึงกางเขน นอกเหนือจากนักบุญ St. Stephen และSt. Justin. มันถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6โดดเด่นด้วยภาพพระเยซูกับนักบุญที่ทำด้วยโมเสส Mosaics สมัย Byzantine

City Break ROME Italy San Lorenzo Fuori le Mura

ที่อยู่คือ Piazzale Del Verano, 3 Quartiere San Lorenzo, 00185 Tel. 06 44 66 184

 

San Giovanni in Laterano ซานจอวานนี่ อิน ลาแตรราโน

City Break ROME Italy San Giovanni in Laterano

โบสถ์ St. John Lateran ถือเป็นวิหารหลวงของโรม ไม่ใช่ St. Peter เหมือนที่ทุกคนคิด ที่นี่ใช้ประกอบพิธีสำคัญของ Bishop of Rome มันถูกสร้างในศตวรรษที่ 4 เชื่อกันว่าเป็นโบสถ์ของคริสต์ศาสนาแห่งแรกของ Rome แต่โชคไม่ดีเพราะมีไฟไหม้และแผ่นดินไหว ทำให้ที่นี่มีการบูรณะแบบ Remodel กลายเป็นสไตล์ Baroque ในยุคศตวรรษที่16-17ไปแล้ว ไปในโบสถ์เพื่อดูภาพ Frescoes, เสาหินcolumns, โมเสส Mosaics และรูปปั้น Sculptures นำโดยปรมาจารย์ด้านศิลปะชื่อดัง ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของโบสถ์คือส่วนที่หลงเหลืออยู่เป็นของเดิมคือห้องรับศีลจุ่มล้างบาป Baptistery สร้างโดย Emperor Constantine ในปี AD 315ซึ่งถือเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของทุกโบสถ์ในโรมด้วย ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 6 โมงครึ่ง
City Break ROME Italy Piazza di Porta San Giovanni 1

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับ Piazza di Porta San Giovanni, Rome, Latium, 00185 Tel. 06-69886433

 

Santa Maria in Trastevere ซานตามาริอา อิน ตราเตแวเร่

วิหาร Santa Maria in Trastevere ถือเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดใน Rome อีกแห่ง สร้างในช่วงปี 350 AD เป็นโบสถ์แม่พระ Virgin Mary แห่งแรกถูกบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ โดย Pope Innocent II แห่งเมือง Trastevere, ในศตวรรษที่12 ทำให้เราสามารถหาดูศิลปะโมเสสยุคศตวรรษที่ 12-13 ที่หาชมได้ยากได้ที่นี่ ส่วนเสา Columns 22 ต้นก็นำมาจากวัดโรมันโบราณแท้ไปที่นี่เพื่อชื่นชมโมเสสโดย Domenichinoในส่วนโดมที่เสร็จในปี1617 ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 3 ทุ่ม

City Break ROME Italy Santa Maria in Trastevere

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับ Piazza Santa Maria in Trastevere, Rome, Latium, 00153 Tel. 06-5814802

 

Santa Maria Sopra Minerva ซานตามาริอาโซปรามิเนอวา
City Break ROME Italy s-maria-sopra-minerva

Santa Maria Sopra Minerva เป็นวิหารในแบบสถาปัตยกรรม Gothic หนึ่งในไม่กี่แห่งในอิตาลี มันถูกสร้างคร่อมวัดโรมันโบราณ (Sopra) ที่บูชา Minerva เทพแห่งความฉลาดสุขุม (ในสมัยก่อนที่ชาวโรมันจะนับถือศาสนาคริสต์ในยุคของจักรพรรดิConstantin นั้น ชาวโรมันจะนับถือเทพเจ้าหลายองค์แบบเดียวกับกรีก เพียงแต่ชื่อจะเรียกไม่เหมือนกัน) มันถูกสร้างในศตวรรษที่ 13 ไปชมภาพ Frescoeฝีมือของ Filippino Lippi และที่เก็บอัฐิของ St. Catherine of Siena ซึ่งเป็นรูปปั้นหินอ่อนฝีมือMichelangelo ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 1 ทุ่ม

City Break ROME Italy Santa Maria Sopra Minerva 1

ที่อยู่ก็ตามนี้ครับPiazza della Minerva, Rome, Latium, 00186 Tel. 06-6793926 หรือเช็ค www.basilicaminerva.it

 

Basilica of Santa Maria del Popolo วิหารซานตามาริอาเดลปอโปโร
City Break ROME Italy Basilica of Santa Maria del Popolo

วิหารนี้สำหรับท่านที่รักศิลปะที่ปรมาจารย์ระดับต้นๆ ของยุคเรเนซองส์ คือ Pinturicchio, Raphael, Berniniและ Caravaggio ฝากผลงานทิ้งไว้โบสถ์ที่นี่สร้างในปี 1099 มีตำนานกันว่าวิญญาณของจักรพรรดิ Nero จอมบ้าคลั่ง ที่เผากรุงโรมนั้นสิงสถิตอยู่ที่นี่

ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันปิดประมาณ1ทุ่มที่อยู่ก็ตามนี้ Piazza del Popolo 12, near Porta Pinciana, Rome, Latium, 00186 Tel. 06-3610836หรือเช็ค www.santamariadelpopolo.it
St. Clement’s Basilica วิหารซานคลีเมนเต้

City Break ROME Italy St. Clement’s Basilica 1

โบสถ์ St. Clement’s Basilicaอยู่ไม่ห่างจาก Colosseum ได้ชื่อมาจากสันตะปาปาองค์ที่ 3 ของคริสต์ศาสนาคือนักบุญ แต่ที่น่าสนใจก็คือโบสถ์นี้สร้างในศตวรรษที่ 12 โดยสร้างคร่อมวิหารเดิมในศตวรรษที่ 4 และวิหารนั้นสร้างคร่อมวัดของ Pagan (พวกนอกศาสนาคริสต์นับถือเทพเจ้า) ที่สร้างในศตวรรษที่1 มีคนมักพูดว่าโรมก็เหมือนลาซานญ่าเพราะมันถึงสร้างทับกันเป็นชั้นๆ แบบลาซานญ่านั่นเอง ถ้าอยากพิสูจน์มาที่วัดนี้ได้ ที่นี่เป็นเหมือนกรณีศึกษาให้เห็น เนื่องจากที่นี่เราสามารถลงไปทัวร์ใต้ดินจะเห็นว่าโรมนั้นสร้างไม่หยุดและทับของเดิมหลายชั้น อย่างที่นี่วัด Pagan ที่สร้างในศตวรรษที่ 1 ลึกลงไปถึง 60ฟุตเมื่อเทียบกับระดับพื้นดินปัจจุบัน มาชมภาพ Frescoes และMosaics สมัยศตวรรษที่ 12 เป็นภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขนแล้วกลายมาเป็นต้นไม้ที่มีชีวิต แต่อย่างที่บอกครับควรไปเพิ่มความรู้ด้านโบราณคดีโดยการไปดูใต้ดินของที่นี่ คือบางครั้งวัดของพวกที่นับถือนิกายที่นอกเหนือจากทางการอาจต้องไปหลบๆ ซ่อนๆ สร้างที่บูชาแบบวัดเล็กๆ อยู่ใต้ดินที่เรียกว่า Mithraeum ที่เป็นแท่นบูชาเทพ Mithrasจาก Persia และถ้าท่านติดใจเรื่องทัวร์ใต้ดินมันก็มีทัวร์แบบนี้ที่เที่ยวชมสุสานใต้ดินของโรม(Crypts and Catacombs Tour)

City Break ROME Italy St. Clement’s Basilica

 

Santa Cecilia in Trastevere ซานตาเซวิเลีย อิน ตราเตเวเร่
City Break ROME Italy Santa CeciliainTrastevere

โบสถ์ St. Cecilia in Trastevere สร้างในศตวรรษที่ 9thโดยสร้างคร่อมโบสถ์เดิมที่สร้างไว้เมื่อปี 200 AD เป็นอนุสรณ์ให้St.Cecilia ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เพราะการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่น่าสนใจคือรูปแกะสลักหินอ่อนของเธอ โดย Stefano Maderno ทำไว้ในศตวรรษที่ 16 ตามที่เขาเห็นตอนที่มีการขุดศพของ St. Cecilia ขึ้นมาเพื่อบรรจุใหม่แต่เหลือเชื่อมากตรงที่ศพของท่านยังสดเหมือนวันที่ถูกฝังวันแรกเลย ทำให้รูปแกะสลักออกมาแบบนั้น มาที่นี่ให้ดู Mosaic ของศตวรรษที่ 9และ Fresco ภาพ Last Judgement โดย Pietro Cavallini ทำทิ้งไว้ก่อนที่ Giottoจะมาทำการตกแต่งเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 1 ทุ่ม ยกเว้นถ้าจะดูภาพ Fresco เปิดช่วง 10 โมงเช้าถึงเที่ยงครึ่ง เสียค่าเข้าชม €2.50

City Break ROME Italy Santa Cecilia in Trastevere

ที่อยู่ก็ตามนี้Piazza Santa Cecilia in Trastevere 22, Rome, Latium, 00153 Tel. 06-5899289

 

Basilica di Sant’Agostino วิหารซานดิอากุสติโน

โบสถ์แบบโรมันเรเนซองส์ St.Augustine คือที่นี่ท่านที่รักงานศิลปะต้องไป เพราะที่นี่มีงานชิ้นเอกของCaravaggioสุดยอดจิตรกรยุคบาโร๊คที่ชื่อว่า Madonna of the Pilgrims เป็นรูปที่ถูกกล่าวขานโจษจันนั้นว่าไม่เหมาะสม เพราะดูสมจริงมาก ในรูปเป็นผู้แสวงบุญเข้าไปคุกเข่าไหว้พระแม่มารีแบบไม่ใส่รองเท้า และเท้าสกปรกมากเหมือนไม่เป็นการแสดงความนับถือและรูปแม่พระดูธรรมดาเหมือนชาวบ้านธรรมดาไปหน่อยไม่ยืนตัวตรงสง่าผ่าเผยดูมีบุญญาบารมี และมีแสงส่องเป็นประกายแบบที่ควรจะเป็น และยังมีภาพของ Raphael ที่ชื่อ Isaiah ภาพศาสดา Isaiah นี้ที่เป็นแรงบันดาลใจ และเพิ่มความมั่นใจของตัวเขาเองก่อนไปวาดใน Sistine Chapel และยังมีรูปปั้นแกะสลักของ Sansovino ทื่ชื่อ St. Anne and the Madonna with Child และThe Madonna and Childโดย Jacopo Tatti ลูกศิษย์ของ Sansovino ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ปิดประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง

 

ที่ผ่านมาทั้งหมด 8 ตอน ก็เป็นเรื่องราวการท่องเที่ยวในโรม ตอนต่อไปก็จะถึงคราวของเรื่องอาหารการกินในโรมกันบ้างซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน โปรดติดตามนะครับ

City Break Rome Part VII

เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่มาโรม หลายครั้งแล้ว
โดย Paul Sansopone

…“มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง…”

นักท่องเที่ยวแบบที่เคยมาโรมหลายครั้งแล้วก็คงไม่อยากไปเที่ยวชมอะไรแบบพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวิหารพานเทนอล, คอลอสเซี่ยมหรือวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ เพราะรู้จักดีแล้ว คราวนี้ก็เลยจะแนะนำอะไรที่ใหม่สำหรับผู้ที่มาโรมบ่อยแล้ว ก็อยากให้ลองออกไปนอกโรมแบบ Day Trip ไปเช้าเย็นกลับบ้างก็ไม่เลวครับ ก็เพราะโรมอยู่ในเขตลาซิโอซึ่งมีอะไรน่าสนใจกว่าโรมอย่างเดียว ผมจึงขอแนะนำเขตลาซิโอในตอนนี้

เขตLazio (ลาซิโอ) เป็นเขตปกครอง 1 ใน 20 เขตของอิตาลี ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ มีเมืองหลวงชื่อ Rome (กรุงโรม)ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีด้วย นอกจากนั้นกรุงโรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกันซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอีกด้วย

Latium (ลาเทียมในภาษาอังกฤษ) เป็นเขตที่มีประชากรและเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 ของอิตาลี (ซึ่งใกล้เคียงกับเขตCampania) มีพื้นที่ 17,236 ตารางกิโลเมตร ทางทิศเหนือมีพื้นที่ติดต่อกันเขต Tuscany, Umbria และMarche ทิศตะวันออกติดกับ Abruzzo และMolise ทิศใต้เป็น Campania และด้านทิศตะวันตกเป็นTyrrhenian Sea พื้นที่ส่วนใหญ่ของ Lazio (ลาซิโอ) จะเป็นที่ราบและเนินเขาเตี้ยๆ จะมีภูเขาขนาดเล็กอยู่บ้างทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ของพื้นที่

ลาซิโอ เป็นภูมิภาคที่มี Rome และกรุงวาติกันศูนย์กลางของคริสต์จักรมาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน อีกทั้งยังเป็นที่ที่ท่านจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของผู้ที่เคยอยู่ในคาบสมุทรรูปรองเท้าบู๊ทแห่งนี้ นอกจากพวกโรมันก็คือพวกอีทรุสคันอีกด้วย

ลาซิโอทอดตัวอยู่ตามแนวชายฝั่ง Tirrenian อยู่ในบริเวณศูนย์กลางของอิตาลีซึ่งเป็นใจกลางของจักรวรรดิโรมันที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกอย่างแท้จริง ที่นี่จะหล่อหลอมให้ท่านกลายเป็นผู้สนใจศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของอิตาลีไปโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่เราอาจไม่ใช่คนที่ชอบอะไรแบบนั้นมาก่อน มันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าท่านออกจากกรุงโรมมาโดยที่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับโรมันถูกเก็บไว้ในสมองส่วนใดส่วนหนึ่งของท่านเลย

ถ้าเคยมาเที่ยวที่นี่บ่อยแล้วแบบผมหรือผู้ที่เคยมาโรมมากกว่า 2-3 ครั้งแล้ว ก็ต้องนี่เลยหากไม่ชอบอะไรเก่าๆ ซากปรักหักพังท่านก็สามารถออกไปเที่ยวดูน้ำพุที่ Tivoli ที่อยู่ห่างจากด้านทิศตะวันออกของ Rome ประมาณ 34 กิโลเมตร บ้านพักตากอากาศ Villa d’Este ของ Hadrian และสวนอิตาเลี่ยนที่เดินเล่นแล้วเพลิดเพลินใจและต้องทึ่งกับระบบส่งน้ำของโรมัน

City Break ROME Italty Lazio 2

ถ้าไปทางด้านทิศตะวันตกของ Rome สำหรับท่านที่ชอบเมืองโรมันโบราณที่น่าศึกษาไม่น้อยไปกว่าเมืองปอมเปย์ทางใต้ที่โดนภูเขาไฟถล่มใส่ ต้องไม่พลาดการไปเยือนเมือง Ostia Antica เมืองท่าโบราณสมัยโรมันห่างจากโรมไป 30 กิโลทางตะวันออกเฉียงเหนือมันคือเมืองปากแม่น้ำไตเบอร์ Ostia มาจากคำว่า os แปลว่าปากในภาษาลาติน ซึ่งก็คือปากแม่น้ำนั่นเอง และแม่น้ำ Tiber นี้ก็ไหลเข้าสู่ใจกลางโรม

City Break ROME Italty Lazio 1

มันเป็นเมืองเก่าโรมันที่มีความสมบูรณ์มากๆ คือมีการเก็บและดูแลรักษาอย่างดี วิธีไปก็ไม่ยากให้ไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ชื่อ Piramide Metro ซึ่งจะติดกับสถานนี Ostiense แล้วก็ให้ขึ้นจากที่นี่ไปลง Ostia Antica
หรือถ้าชอบทะเลก็สามารถมุ่งไปเมืองตากอากาศที่ชื่อ Formia ทางตอนใต้ของลาซิโอ

City Break ROME Italty Lazio

แถวๆ นี้คุณจะได้ไปเดินเล่นบนถนนสายแรกๆ ที่สร้างโดยชาวโรมันซึ่งถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Appian Way (via Appia) ที่เชื่อมระหว่าง Rome กับ Capua แล้วต่อไปถึง Brindisi เมืองทางใต้ในเขตปูกลีญา ซึ่งจะทำให้เราทึ่งกับวิชั่นของชาวโรมันหรือผู้นำที่เรียกว่าซีซ่าร์ของพวกเขา การทำถนนการทำท่อส่งน้ำนั้นเป็นพื้นฐานของความเจริญที่วิศวกรโรมันมอบเป็นมรดกไว้ให้โลกใบนี้ นอกจากระบอบประชาธิปไตยซึ่งถ้าท่านสนับสนุนระบอบนี้ ก็ถ้าไปก็อย่าลืมแวะชมสุสานของ Cicero นักปราชญ์ ผู้นำทางความคิดและเป็นนักการเมืองชื่อดังที่โดนลอบสังหารในวันที่ 7 ธันวาคม ปีที่ 43 B.C.โดยศัตรูทางการเมืองที่ต้องการเป็นเผด็จการ ที่ผมชอบมากๆ ก็คือประเทศที่เจริญนั้นมักมีการบันทึกทุกอย่างไว้ชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะอะไร แม้แต่วันที่และเวลาเมื่อ 43ปีก่อนพระเยซูจะจากโลกนี้ไปมันมีการลงรายละเอียดขนาดนี้ได้น่าทึ่งครับ (สุสานอยู่ในย่านเดียวกันนี้) อีกบันทึกที่น่าสนใจก็คือผู้ปลดแอกพวกทาสชื่อดังที่ชื่อ Spartacus ก็ถูกจับตรึงกางเขน(crucified) บนถนนสายนี้ในปี 71 B.C.
ancient-rome- 1

ancient-rome 2

ancient-rome-skip-the-line-visit-to-rome-s-city-centre-and-tour-of-the-catacombs-and-the-appian-way

The Appian Way

นี่คือซูเปอร์ไฮเวย์แห่งแรกของยุโรปและถนนสายที่เก่าที่สุดในยุโรปที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมมากๆ ใช้เป็นทั้งเส้นทางการค้าและเส้นทางการรบ สร้างด้วยหินแผ่นเรียบที่ผ่านฤดูหนาวร้อนมากว่า 2,300 ครั้ง มันถูกการใช้งานโดยพ่อค้า, ประชาชน, ทหารโรมัน, จักรพรรดิจูเลียสซีซ่าร์ หรือแม้แต่นักบุญปิเอโดร (Saint Peter) เพราะมันสร้างมาตั้งแต่ปี 312B.C (ก่อนคริสตกาล)
การที่เราได้ไปเดินตามรอยเท้าของผู้สร้างอารยธรรมตะวันตก มันน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลย ถนนเริ่มต้นจากโรมที่ Porta San Sebastiano ห่างจากโคลอสเซี่ยมไปแค่ 2 ไมล์ การไปเที่ยวมักจะไปในส่วน 10 ไมล์แรกเท่านั้นที่มีสภาพที่มีการดูแลและกำหนดให้เป็นเหมือนสวนสาธารณะชื่อ Parco dell’Appia Antica

ไปเที่ยว Civita di Bagnoregio เมืองสวรรค์

Civita di Bagnoregio 2

หรือท่านอาจต้องการไปเที่ยวที่เพื่อนๆ ของท่านไม่เคยไปต่อให้มาอิตาลีหลายครั้งแล้วก็ตาม นี่เลยครับขึ้นไปทางเหนือของกรุงโรมประมาณ 120 กิโลที่เมือง Bagnoregio และห่างไปอีกกิโลนึงท่านจะพบกับเมืองโบราณที่สร้างโดยชาว Etruscans กว่า 2,500 ปีมาแล้ว เมืองนี้ชื่อว่า Civita เมืองบ้านเกิดของนักบุญ Saint Bonaventure ตัวเมืองเหมือนส่วนหนึ่งของภูเขาและหน้าผา ที่บ่อยครั้งมันพังไปเพราะหินผุกร่อนหน้าผาถล่มไป มันเป็นตัวอย่างของการสร้างเมืองบนจุดยุทธศาสตร์แบบเมืองในยุคกลางทั่วไปที่ต้องทำให้โดนข้าศึกมารุกรานได้ยากที่สุด หากมาในช่วงหน้าหนาวหน่อยมันจะเป็นเหมือนเมืองที่อยู่บนสวรรค์ เมืองที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆ เพราะมีทะเลหมอกจากรอบด้านนั่นเอง

Civita di Bagnoregio

Civita di Bagnoregio 1

หรือไปเที่ยวทางตอนใต้ของ Rome เป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟที่เรียกว่า Albabi Colli Hills มีทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟ2 แห่งคือ Nemi กับ Albano ที่นี่อยู่ห่างจากโรมไม่ไกลมีทิวทัศน์ที่สวยงามและใช้เป็นที่พักผ่อนตากอากาศมาตั้งแต่สมัยโรมันพอมาถึงในยุคเรอเนสซองค์ที่เศรษฐกิจดีขึ้นมาบรรดาเศรษฐีมักมาสร้างVillaบ้านพักตากอากาศแบบที่หรูหราสไตล์ Barroc เพื่อการหลีกหนีจากความร้อนและความวุ่นวายของ Rome ซึ่งรวมถึงวังฤดูร้อนของพระสันตะปาปาด้วยที่ Castel Gandolfo

Castel Gandolfo Italy

พระราชวังฤดูร้อนของสันตะปาปาที่ Castel Gandolfo

และในบริเวณใกล้เคียงคือเมืองบนเนินเขา Frascati สถานที่ซึ่งท่านสามารถนั่งลงบนโต๊ะอาหารไม้แบบเก่าๆ นั่งสั่งบรูสเก็ตต้ากับไวน์ขาว Frascati ซึ่งถือเป็น Signature Wine ของท้องถิ่นมาลองแล้วมองวิวสวยๆ และชื่นชมกับคนรักของท่านที่ไปด้วยกัน (แม้ว่าเค้าอาจอารมณ์ไม่ดีเพราะอยากอยู่แถวบันไดสเปนเพื่อช็อปปิ้งมากกว่า)

Frascati Italy

ไวน์ของลาซิโอ
เขต Lazio (ลาซิโอกับ แคว้น Campania กัมปาเนีย) ทั้ง 2 แคว้นมีไวน์ที่มีชื่อเสียงแต่ว่ามีเพียงไม่กี่ตัวเพราะมีพื้นที่ปลูกองุ่นจำกัด เนื่องจากเป็นเขตอุตสาหกรรมของประเทศอิตาลีจึงเป็นเขตที่บริโภคไวน์มากกว่าที่จะเป็นผู้ผลิตไวน์ครับ

ประวัติการเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ผลิตไวน์บริเวณรอบกรุงโรมมีมานานหลายพันปีแล้ว ไวน์ที่ผลิตย่านนี้ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาวไวน์ที่เป็นที่นิยมคือ Falernian และ Caecuban

ไวน์ Falernian เป็นไวน์ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ Aglianico จากบริเวณเชิงเขา Falernus ทางทิศใต้ของแคว้นใกล้กับพรมแดนแคว้น Campania และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นเพื่อใช้ทำไวน์มาตั้งแต่ยุคโรมันโบราณ

ไวน์ Caecuban เป็นไวน์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ 70 ปีก่อนคริสตกาล ผลิตจากหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Ager Caecubusในเมือง Amyclae

เมืองเล็กๆบริเวณชายฝั่งของแคว้นLatium (ลาเทียม) ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ Pontine Marshes

เป็นไวน์ขาวที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปคือ Est! Est!! Est!!! (เอสต์ เอสต์ เอสต์)

เขตLatium (ลาเทียม) มีพื้นที่ปลูกองุ่นรวม 47.884 เฮกแตร์ (118,321 เอเคอร์) 84% เป็นไวน์ขาว และ16% เป็นไวน์แดง ในจำนวนนี้ 6.5% เป็นไวน์ชั้น DOC ประกอบด้วย ไวน์ชั้น DOC 25 ตัว เช่น Castelli Romani, Albani, Montecompatri-Colonna, Est! Est! Est! di Montefiascone และVelletri

องุ่นขาวสายพันธุ์หลักคือ Malvasia (มัลวาเซีย) และ Trebbiano (ทรีบเบียนโน) ส่วนองุ่นแดงมีสายพันธุ์ Cabenet Sauvignon (คาแบร์เนต์โซวีญยอง) Cabernet Franc (คาแบร์เนต์ ฟรอง) Merlot (แมร์โลต์) Cesanese, Syrah (ซีราห์) Petit Verdot (พิติ เวอร์ด็อท) Sangiovese (ซานโจเวเซ่) และ Montepulciano (มอนเตพูลเซียโน)

City Break ROME Italty Lazio Wine

อีกเมืองที่น่าสนใจในละแวกนี้ก็คือเมือง Nemi มันเป็น Hill Town แบบในทัคานี(ถ้าท่านไม่มีเวลาไปที่นั่น) ชื่อเดียวกับทะเลสาบ เนมี่ Nemi ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟที่นี่มีคุณค่าด้านโบราณวัตถุ เพราะมีการขุดค้นพบของโบราณยุคโรมันหลายๆ อย่าง เช่น เรือสำราญหรูของ Emperor Caligula จักรพรรดิที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยชอบจัดงานเลี้ยงโดยมีสาวงามเสิร์ฟในชุดวันเกิด เรือถูกขุดพบในปี 1929 มันทำด้วยไม้กระจกและโมเสคที่ประดับประดาอย่างดี แต่ในสมัยที่เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์Museo delle Navi Romani มันถูกไฟไหม้ทำลายไปในปี 1944 ปัจจุบันเลยมีแค่เป็นตัวที่จำลองมาและยังมีที่บูชาเทพแห่งการล่าคือ Diana, the goddess of hunt เมืองนี้ในสมัยก่อนมาได้โดยถนนโรมันที่ชื่อ Via Sacraที่ตัดตรงออกมาจากใจกลางโรมที่บริเวณ Roman forum

Wild Berry Festival Italy

Berry Tarte Wild Berry Festival Italy

และหากมาที่นี่ในช่วงหน้าร้อนห้ามพลาดเทศกาลสตรอว์เบอรี่ป่า Wild Berry ซึ่งมีชื่อเสียงท่านสามารถสั่ง Berry Tarte ทานได้จากร้านขนมเกือบทุกแห่งในเมืองนี้

Montefiascone, Lazio มอนเตเฟียสคอนเน่

City Break ROME Italty Montefiascone-agodibolsena 1

วิว Lake Bolsena จากเมือง Montefiascone

เมืองทะเลสาบอีกเมืองที่คุ้มค่าการไปเยือนก็คือมอนเตเฟียสโคเน่ Montefiascone เมือง hill town สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 ฟุต หันหน้าเข้าสู่ทะเลสาบโบลเซนา Bolsena โอบล้อมด้วยภูเขา และยังมีไวน์ขาวดังของเมืองชื่อ Est!Est!Est!

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine 1

Est-Est-Est-Montefiascone-Wine-Map

เมืองนี้เกิดในสมัยโรมันอยู่บนถนนสายที่ชื่อ Via Cassia มันโบราณเป็นถนนจากโรมไปฝรั่งเศสซึ่งผ่าน Montefiascone เป็นเมืองที่ Pope Leo X ทรงโปรดสำหรับการมาพักผ่อน

Cathedral of St. Margherita Italy

มาที่นี่ต้องมาชมโบสถ์ Cathedral of St. Margheritaที่มีโดมขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิตาลี เป็นรองแค่ St. Peter’s และDuomo ของเมือง Florence เท่านั้น

City Break New York City Part X (Episode.4)

Night out in the city that never sleep…(Final)

..มีการกล่าวกันว่า ‘There is no business like show business’ และประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องธุรกิจบันเทิงนี้ก็คืออเมริกา ซึ่งคงต้องให้เครดิต Broadway Musical พอสมควรที่ทำให้อเมริกาเป็นเจ้าแห่ง Show Business ได้..

Broadway Musical

ผมขอส่งท้าย City Break New York Series ด้วยเรื่องละครบอร์ดเวย์ ที่มันเปรียบเสมือนสิ่งที่ขาดกันไม่ได้ เหมือนกับว่า หากนิวยอร์กไม่มีละครบอร์ดเวย์ เพลง New York New York ของ Frank Sinatra ที่ผมพูดถึงในตอนที่1 ของบทความนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นมาได้ สีสันของถนนดังแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำเพราะมันก็จะไม่ใช่ย่าน Theater District และอุตสาหกรรมหนังของHollywood ก็อาจไม่มีแรงขับเคลื่อน อาชีพนักแสดงซึ่งมักต้องไต่เต้าจากละครร้องหรือละครเวทีก็อาจจะไม่ต้องใช้ความสามารถในการแสดงเท่านี้ จะเห็นว่าดาราฮอลลีวูดส่วนใหญ่ร้องรำทำเพลงหรือเต้นได้แบบ ธรรมชาติ ไม่ใช่ดาราแบบที่แค่ท่องบทได้ก็เป็นดาราได้แล้ว

ละครแบบMusicalก็คือละครที่ใช้เพลงแทนการเล่าเรื่องหรือการแสดงออก อาจเป็นแบบcomedyคือละครตลกสนุกสนานหรือละครชีวิตแบบน้ำตาซึมก็ได้ ในนิวยอร์กก็มักจะแสดงกันในโรงละครที่ตั้งอยู่บริเวณถนนบอร์ดเวย์ ในลอนดอนก็มีเช่นกันในแถบWest End ใกล้ๆ ย่านSoho มันเริ่มมาตั้งแต่เริ่มศตวรรษที่20 มีละครที่สร้างชื่ออดังนี้ Show Boat (1927) , Oklahoma! (1943) ตามมาด้วย West Side Story (1957), The Fantasticks (1960), Hair (1967), A Chorus Line (1975), Les Misérables (1985), The Phantom of the Opera (1986), Rent (1996), The Producers (2001), Wicked (2003) และล่าสุด Hamilton (2015)

ปัจจุบันโรงละคร Broadway มีเหลืออยู่ 41 แห่ง เมื่อก่อนมีมากกว่านี้และทั้งหมดก็จะอยู่ใกล้ๆ Times Square ทุกๆ ปีจะมีคนเข้าชมละครเป็นล้านคน และละครบางเรื่องก็ไม่เคยออกจากโรงเลย เล่นเรื่องเดียวมาตลอดอาจเปลี่ยนตัวละครไปหลายชุดแต่เรื่องไม่เปลี่ยน เช่นเรื่อง The Phantom of the Opera ในขณะที่ดาราฮอลลีวูดที่มีผลงานจะได้รางวัล Oscar แต่รางวัลของดาราละครBroadwayจะได้เป็น Tony Awards และเนื่องจากละครBroadwayมักจะเป็นละครที่ต้องใช้บทประพันธ์เพลงและเนื้อร้องที่อลังการ และบทพูดที่อาจต้องให้เดินเนื้อเรื่องสนุก เพราะไม่มีการตัดต่อเหมือนภาพยนต์จึงต้องได้ผู้ประพันธ์ที่มีความเป็นมืออาชีพสูง ต้องทุ่มทุนสร้างต้นทุนก็สูงตามแถมยังใช้ตัวละครเยอะ ฉากยิ่งใหญ่ แบบว่าบางเรื่องเล่นผ่านไป 1-2 ปีแล้วทุนยังไม่คืนก็มี ดังนั้นทำให้ละครต้นทุนต่ำไม่มีโอกาสมาแสดงที่นี่ จึงเกิดละครที่เรียกว่า Off Broadway เกิดขึ้นทั่วไปในนิวยอร์ก อาจอยู่ที่Brooklyn หรือที่ไหนที่ไม่ใช่บอร์ดเวย์แต่ก็ดังได้เหมือนกัน เป็นแบบคล้ายค่ายเพลงIndieนั่นเอง คือจะมีกลุ่มตลาดอีกแบบ

 
แนะนำ Broadway Shows เรื่องที่น่าสนใจ (ไม่ใช่รีวิวนะครับรีวิวต้องโดยผู้ชำนาญหาอ่านดูครับ)

Aladdin

Aladdin แสดงที่ New Amsterdam Theatre บทเพลงโดย Alan Menken เนื้อร้องโดย Howard Ashman และTim Rice กำกับโดย Casey Nicholaw กับ Adam Jacobs, James Monroe ความยาว 2 ชั่วโมง 20 นาที มีเบรก 1 ช่วง มันคือการนำการ์ตูนของDisney มาสู่ละครเวทีแบบเดียวกับ Beauty and the Beast และThe Lion King ซึ่งเพลงของดีสนีย์ก็มักจะไพเราะอยู่แล้ว และแถมเรื่องเอฟเฟ็กต์เช่นพรมบินได้ หรือจินนี่ออกจากตะเกียงวิเศษก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ

 
Beautiful—The Carole King Musical

Beautiful—The Carole King Musical ถ้าท่านชอบเพลงของ Carole King อย่าง “So Far Away,” “Will You Still Love Me Tomorrow,” “It’s Too Late” ท่านก็น่าจะมีโอกาสชอบละครเรื่องนี้ เพราะมันก็เหมือนเก็บเอาบางช่วงของชีวิตนักร้องคนนี้ที่เติบโตมาในย่านBrooklyn ที่ต้องฟันฝ่าอะไรมาหลายอย่างมาทำบทละคร คนที่ไปดูมาแล้วบอกว่าไม่ผิดหวัง

 
A Bronx Tale: The Musical

A Bronx Tale The Musical Broadway NYC

เมื่อลูกชายต้องเลือกเอาระหว่างพ่อ ซึ่งทำงานบริสุทธิ์เคารพกฎหมายด้วยอาชีพขับรถโดยสารกับเจ้านายที่เป็นหัวหน้าแก็งค์มาเฟีย มีบทเพลงที่แต่งโดย Alan Menken เนื้อร้องโดย Glenn Slater (Leap of Faith) แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือกำกับโดย Robert De Niro และ Jerry Zaks

 
Cats

Cats Broadway NYC

ถือเป็น Broadway Classic ที่มีบทเพลงโดย Andrew Lloyd Webber ซึ่งเปรียบเหมือนกับ’ตัวพ่อ’ แห่งวงการเพลงละครบอร์ดเวย์ มันเคยออกแสดงในช่วงปี 80 อยู่ถึง 18 ปีด้วยกัน และตอนนี้มีการนำกลับมาแสดงใหม่ จะดีกว่าเก่าหรือไม่ต้องพิสูจน์กันเองครับ แต่ท่านควรมีพื้นฐานเป็นคนชอบแมวซะหน่อย เพราะผมเป็นคนชอบหมาเลยยังไม่เคยดูสักครั้ง
แสดงที่ Neil Simon Theatre , Midtown West จนถึง 31 ธันวาคม 2017

 
Chicago

Chicago Broadway NYC

นี่คือผลงานของ John Kanderแต่ถูกนำมาชุบชีวิตใหม่โดยผู้กำกับ Walter Bobbie มันเป็นเรื่องราวของนักร้องประสานเสียงChorus Girl ชื่อ Roxie Hart ที่พัวพันกับคดีฆาตกรรมคนรักของเธอ แต่ได้รับกาช่วยเหลือโดยทนายความจอมพลิกแพลงที่หลงรักเธอ ทำให้เธอโด่งดังเป็นดาราขึ้นมา ความยาวชั่วโมงครึ่ง มี 1 เบรก (intermission)

 

Cirque du Soleil Paramour

Cirque du Soleil Paramour Broadway NYC

ถ้าใครชอบดูละครเพลงที่เหมือนได้ดูกายกรรมด้วยอาจต้องพิจารณาเรื่องนี้ มันเคยเป็นโชว์แบบSpectacle ไม่ใช่ละครอยู่ที่ Las Vegas เรียกว่าโด่งดังตื่นตาตื่นใจ ตัวละครเกือบทุกคน มีความสามารถด้านกายกรรม Acrobats ตีลังกากัน 4-5 ตลบแบบนักกีฬายิมนาสติก แต่การเอามาดัดแปลงให้เป็นละครบอร์ดเวย์ที่ต้องมีเพลงร้อง บางคนบอกว่ามันไม่เนียนที่จะทำให้แฟนละครยอมรับ
แสดงที่ Lyric Theatre , Midtown West จนถึง 16 เมษายน 2017

 
The Color Purple

The Color Purple Bradway NYC

The Color Purple คือละครที่เคยเล่นมาในช่วงปี2005 แล้วก็ถูกนำมาปัดฝุ่นลงโรงใหม่อีกครั้ง ในลีลาที่คล่องแคล่วกว่าเดิม คือเดินเรื่องไม่อืดอาดเหมือนเดิม เพราะคราวนี้มาลงโรงเล็กด้วยนักแสดงเลยโดนตัดไปเยอะ เรื่องนี้คนรู้จักดีเพราะเคยถูกสร้างเป็นหนังมาก่อน มันถูกดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ Alice Walkerนวนิยายของเขาในปี1982 เป็นการเล่าเรื่องราวของ Celie ตั้งแต่อายุ14 ปีที่ถูกข่มขืนโดยผู้ซึ่งเชื่อว่าเป็นพ่อของเธอ เพราะเขาคิดว่าลูกได้ตายไปแล้วและเรื่องราวก็เดินต่อไปถึงการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ
แสดงที่ Bernard B. Jacobs Theatre , Midtown West

 
Come from Away

Come from Away Broadway NYc

เป็นเหมือนเรื่องจริงที่ไม่น่าจะกลายมาเป็นละครบอร์ดเวย์ Come Fly Away คือนำเหตุการ์ณที่ค่อนข้างเครียดสำหรับผู้โดยสารกว่า 6,000 คนของสายการบินต่างๆ 38 ลำที่ถูกบังคับให้ลงจอดที่สนามบิน Ganderใน Newfoundland ของแคนาดาเมื่อวันที่มีเหตุการ์ณ 911 หรือวันที่ 11 กันยายน 2001 มาเดินเรื่อง ทั้งนี้หนังสือ บทเพลงบทพูดมาจากทีมทำละครของแคนาดา นำโดย Irene Sankoff และ David Hein
แสดงที่ Gerald Schoenfeld Theatre , Midtown West

 
Dear Evan Hansen

Dear Evan Hansen Bradway NYC

เรื่องนี้เป็นบทละครที่ตั้งใจทำให้มาเป็นละครเพลงแบบmusicalโดยเฉพาะ ไม่เหมือนบางเรื่องที่เอามาจากภาพยนตร์ดังหรือการ์ตูน หรือแม้แต่วงดนตรีที่มีเพลงดังเช่น Mama Mia! เรื่องนี้เป็นเรื่องราวต่อเนื่องของนักเรียน High School ที่มารวมกลุ่มกันและต้องเชื่อใจกัน หลังจากที่เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถูกฆ่า มันเคยเป็นละครแบบOff Broadway คืออยู่ในโรงชั้น 2 มาก่อน แต่คนมาดูเต็มตลอดก็เลยเขยิบขึ้นมาBroadwayจากบทประพันธ์ของ Steven Levenson

 

Jersey Boys

มันคือเรื่องราวของ Frankie Vallie และ The Four seasons วงดนตรีที่ดังในยุค 60 ต่อ 70 ซึ่งมีเพลงฮิตดังๆ มากมายรวมทั้งเพลงที่ผมชอบคือ เพลง Who Loves You คือลำพังเพลงแต่ละเพลงก็น่าจะทำให้ละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก การเล่าความเป็นมาของสมาชิกในวงตั้งแต่เป็นพวกแก๊งส์เกเรที่เติบโตมาในนิวเจอร์ซี่จึงเป็นโจทย์ไม่ยากนักสำหรับคนเขียนบท

 
Off Broadway Show

ก่อนจบจะขอแถมแนะนำละครแบบ Off Broadway Productions ให้ซักเรื่อง เพราะบางครั้งมันคุ้มค่ากว่าดูบอร์ดเวย์ในราคาแพงแล้วเจอโชว์ที่ไม่เข้าตา พวกโรงชั้น 2 นี้ มักมีราคาอยู่ที่ช่วง$15–$25 แต่มักจะเป็นโรงเล็กจุได้ไม่น่าเกิน 100 ที่นั่ง แต่มีโรงละครประเภทนี้เยอะอยู่กระจายตัวอยู่ทั่วไปไม่ได้อยู่แถว Times Square เหมือนพวก Broadway Show

 

Ghosts of Christmas Past

Ghosts of Christmas Past Broadway NYC

เป็นเรื่องราวที่รวบรวมมาจากละครวิทยุสมัยก่อน โดย Dan Bianchi ไม่ทราบว่าจะเหมือนหนังผีไทยหรือไม่ ที่ถือเป็นsure bet คือลงทุนแล้วเจ๊งยาก เพราะคนไทยชอบหนังผีแล้วมีตลกแทรก แต่เรื่องนี้นำเรื่องเล่าท้องถิ่นที่เป็นตำนานคล้ายหนังเรื่อง Urban Legend มาเป็นเรื่องสั้นทั้งหมด 14 เรื่อง โดยแต่ละวันจะแสดง 4-5 เรื่องใน 14 เพื่อให้คนกลับมาดูอีกในตอนที่ตัวองยังไม่ได้ดู เป็นไอเดียไม่เลวทีเดียว ถ้าท่านชอบ Ghost Stories และอยากลอง Off Broadway Show ดูสักครั้งก็เรื่องนี้เลยครับ

 

เราคงส่งท้ายมหานครนิวยอร์กกันในตอนนี้แล้วครับ แต่ City Break Series ของผมก็ยังมีต่อไป โดยจากที่นิวยอร์กเราจะบินข้ามแอตแลนติกไปที่ อมตะนคร หรือกรุงโรม (ตอนแรกว่าจะไปปารีส แต่ขอเก็บไว้ทีหลัง เพราะถ้าเขียนปารีสก่อนเดี๋ยวเมืองอื่นจะดูจืดไป) ซึ่งเหมือนเป็นเมืองแม่เมืองหนึ่งของชาวนิวยอร์กเพราะมีบรรพบุรุษอยู่ที่ Italy เยอะ กรุงโรมถือว่ามีที่เที่ยวมากมาย และยังเป็นต้นตำรับของวัฒนธรรมตะวันตกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน และไลฟ์สไตล์…แล้วเจอกันที่โรมครับ

City Break New York City Part X (Episode.3)

Night Out In The City That Never Sleep…(ต่อ)

ประโยคเก่งที่ว่า “the night is still young” มักเป็นคำพูดของหนุ่มๆ ที่ใช้หลอกคู่เดทของตัวเองให้อยู่ต่อ อย่าเพิ่งรีบกลับ แต่นั่นมันจะใช้ก็ต่อเมื่ออยู่เมืองอื่นครับ เพราะถ้าอยู่นิวยอร์กคู่เดทคุณจะอยู่ต่อเอง…

การเริ่มจาก Cocktail Bar แล้วมาต่อ Jazz Bar มันค่อยๆ เร้าอารมณ์ขึ้นมาแบบเป็นระดับ แต่ถ้าจะให้สุดมันต้องจบด้วย Party House หรือการไป Clubbing ครับ ไม่งั้นไม่สุด

night-out-nyc

Best Clubs in NYC
สำหรับท่านที่ไม่ชอบแจ๊สแต่ชอบแดนซ์กระจายหรือเมาแต่มันได้Exercise นั้นมันก็ต้อง Night Club แบบ Party House เล่นดนตรีแบบ Techno, House Music เป็น DJ เปิดเพลงไม่มีวงดนตรีแต่ต้องขอบอกว่าสถานที่บางแห่งเราอาจจะไม่ได้เข้า หากเราแต่งตัวไม่ถึงมาตรฐานของที่เขาตั้งไว้ เว้นแต่ไปในช่วงโลว์วันweekdayก็ไม่น่ามีปัญหามาก

 

Bossa Nova Civic Club

bossa-nova-nyc

เรียกตัวเองว่าเป็น “Tropical Fantasy Dance Club” เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในด้านการตกแต่งสถานที่ และเน้นระบบเสียงที่มีเสียงเบสเข้าไปเต้นแทนเสียงหัวใจได้ที่นี่แบบ Bar-Meets-Club เน้น DJ มีresume อย่าง Adam X, Ron Morelli, Heather Heart, Marcos Cabral, Reade Truth, Jamie xx, Henning Baer และMike Simonetti

 

Good Room

good-room-nyc

ที่นี่เคยเป็น Club Europa แต่ Good Room ถูกออกแบบใหม่โดย Steve Lewis และเปิดเมื่อตุลาคม 2014 ห้องหลักเน้นมุมของ DJ มีระบบเสียงแบบ Solid Sound System มีฟลอร์ให้ขยับทรวดทรงองค์เอวได้แบบไม่อึดอัด และยังมีเวทีสำหรับการแสดงประกอบเพลง ท่านที่ไม่ชอบสไตล์คลับใหญ่ยักษ์แบบ Mega Clubs ต้อง Good Room ราคาดื่มไม่แพงด้วย

 

Black Flamingo

black-flamingo-nyc

ที่นี่เปิดใหม่ในปี2015 เป็นสไตล์ Restaurant-Bar-Nightclub ที่ลูกค้าอาจจะยังงงกับConceptเพราะเสิร์ฟอาหารชั้นบนแต่มีเสียงเบสกระแทกพื้นอยู่ด้านล่าง อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นครีเอทีฟที่นี่ก็เป็นมือเก่าแก่ไม่มือใหม่ใจกล้ามาจากไหน ไม่น่าจะผิดหวังนะครับ

 

House of Yes

house-of-yes-nyc

เปิดสดๆ ในปี 2016 ใน Brooklyn เป็นคอนเซ็ปที่ให้คนที่ต้องการแต่งตัวแปลกๆ หรือบ้าบอแบบของตัวเองมาประชันกันที่นี่เอาเป็นว่าเอาใจพวก Exhibitionist ที่อยากจะโป๊ก็ไม่ว่ากัน แต่ต้องชอบ Party แบบ “House of Love” ที่นี่มีโชว์และกายกรรมไต่ราวตลอดจนมายากลเพราะ House of Yes ไม่ต้องการที่จะให้ Night Out ของคุณมีแค่ Drinks at The Bar

 

Output

output-nyc

ที่นี่เป็นแบบมีห้องเต้นหลายห้อง เป็น Multiroom Dance Club อยู่ใกล้โรงแรม Wythe Hotel ตอนเหนือของ Williamsburg มีระบบเสียงดีและเน้นเพลง House กับ Techno คิวยาว ควรต้องจองถ้าจองได้

 

Cielo

ที่นี่เข้ายากหน่อยเพราะจะมีที่เรียกว่า Bouncers Guarding คือผู้ที่ใส่หมวกเบสบอลยืนคุมหน้าประตู ผู้ที่จะบอกว่าท่านจะได้เข้าหรือไม่ เพราะที่นี่มีดี มีDJ ระดับโลก François K, Tedd Patterson และLouie Vega ที่ Cielo จะมีแขกชั้นดีระบบเสียงแบบ Crystal-Clear Sound System เปิดมาเป็น 10 ปีแต่แขกก็ยังตรึมอยู่

 

Marquee

marquee-nyc
สุดท้ายคงต้องพูดถึง Marquee ซึ่งเปิดอยู่ที่ Las Vegas ด้วยมันเป็นแบบ Megaclub ที่ลงทุนสูง มีความหรูฟู่ฟ่า และขนาดที่ใช้จอดเรือบินได้ ที่นี่คุณจะเจอนางแบบที่เบสในนิวยอร์ก ที่มักจะมาผ่อนคลายหลังจากถ่ายแบบมา จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลให้มาที่นี่เยอะแยะ ถ้าคุณเข้าได้โดยเฉพาะวันศุกร์สุดยอด DJ จะมาโชว์ความเก๋ากันที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Guy Gerber, Damian Lazarus หรือ Jamie Jones แต่บอกไว้ก่อนว่าที่นี่เหมาะสำหรับท่านที่กระเป๋าลึกหน่อย

 

แต่สำหรับท่านที่ Can’t Party That Hard คือเจอลำโพงดังเครื่องเสียงวัตต์สูงๆ แล้วเวียนหัว แต่ชอบดนตรี ผมก็ยังมีทางเลือกให้ท่านอยู่

 

Live Concert Hall
บางครั้งการได้ไปที่ไหน เราก็อยากได้ประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าปกติ ดังนั้นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ในสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ที่เรามักเคยเห็นจากการถ่ายทอดทีวี จากเทป หรือDVDบันทึกการแสดงสด มันไม่มีทางที่จะบรรยากาศที่แท้จริงของมันโดยเด็ดขาด ผมขอยกตัวอย่างสถานที่ดังต่อไปนี้ให้ท่านพิจารณาโดยอย่าลืมที่จะต้องวางแผนมาก่อน โดยตรวจสอบตาราง Event Calendar และจองตั๋วออนไลน์มาก็เพื่องป้องกันความผิดหวัง

 

World’s Biggest Acts On The World’s Most Prestigious Stages

 

Madison Square Garden

madison-square-garden-nyc

ใครที่ไม่ดังจริงก็คงไม่ได้แสดงที่นี่ หรืออีเว้นท์ที่ไม่ยิ่งใหญ่จริงแบบการชกของมูฮาหมัดอาลีกับโจเฟรเซีย ก็คงไม่ได้จัดที่นี่ก็ลองดูครับถ้าเรามาตรงกับรายการแสดงที่เราชอบก็น่าจะไปดู แต่ถ้าไม่มีการแสดงใดที่นี่เป็น Home Court ของทีมบาสเกตบอล New York Knicks ซึ่งก็น่าเข้าไปดูถ้ามีบัตรนะครับ การชมกีฬาในสนามแห่งนี้ก็ไม่ได้เข้าไปชมง่ายๆ ถือเป็น Wish List ได้เลยครับสำหรับบางคน

 

Radio City Music Hall

radio-city-music-hall-new-york-city

นี่คือ “New York City!” และMusic Hallแห่งนี้คือ History! และแน่นอนว่ามันต้องตกแต่งในแบบสมัยที่นิวยอร์กฟู่ฟ่าสุดขีดก็คือ การแต่งในแบบ Art Deco Surroundings ถ้าเราไม่ได้ต้องการแค่โชว์หรือคอนเสิร์ตดีๆ แต่ต้องการประวัติศาสตร์ของเมืองด้วยก็ต้องมาที่นี่ครับ

the-radio-city-nyc-1

โถงทางเข้า The Radio city

 

Hammerstein Ballroom (at the Manhattan Center)

คิวที่นี่ยาวจัดข้ามblockเลยทีเดียว ราคาก็แพง แสดงว่าต้องมีอะไรดี แน่ละก็ที่นี่มักจะมีวงดังแบบอมตะ เช่น Kylie Minogue, The Pet Shop Boys หรือGrace Jones สลับกันมาร้องเพลงที่แฟนส่วนใหญ่ร้องตามได้

 

Bowery Ballroom

bowery-ballroom-nyc

ท่านที่ทันสมัยฟังเพลงยุคใหม่แบบสไตล์ Indie Bands, คงต้องมาลองที่ Bowery ที่มักจะมี Artistsในและนอกประเทศอเมริกาสลับกันมาให้ความบันเทิงแบบไม่สนว่าใครจะฟังเป็นหรือไม่เป็น ก็พวกวงเหล่านี้พยายามจะสร้างเทรนด์ใหม่ถ้าคุณตามไม่ทันช่วยไม่ได้ครับ

 

The Town Hall

the-town-hall-nyc

ถ้าอยากไปฟังระบบAcousticsแบบยุคเก่า ต้องที่นี่ “People’s Auditorium” ถือว่าสุดยอด ออกแบบโดย McKim, Mead & White เคยจัดแสดงรายการระดับเซียนนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้ง George Benson, Grizzly Bear และ Lindsey Buckingham

 

Apollo Theatre

appollo-nyc

ถ้าคุณชอบ Black Music ที่นี่ถือเป็น The City’s Home of R&B และSoul Music ที่สุด Cozy ที่ศิลปินผิวสีดังๆ ก่อนจะเกิดได้ต้องผ่านเวทีนี้ เช่น Ella Fitzgerald and D’Angelo แม้สมัยนี้ไม่ได้เน้นว่าจะต้องเป็นศิลปินผิวสีอะไรแล้วที่ Apollo ก็ยังคงความขลังแบบไม่สิ้นสุดมาตั้งแต่ปี 1934

ตอนหน้าคงเป็นตอนสุดท้ายของ NYC ซึ่งผมจะแนะนำสถานบันเทิงสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดนตรีแบบแสดงสด แต่ชอบดูละครเวที ละครร้อง คงต้องไปแถว Time Square ส่งท้ายคืนที่ไม่หลับไม่นอนกันของเมืองนี้ครับ

City Break: New York City Part X (Episode.2)

Night Out In The City That Never Sleep… (ต่อ)

…เนื่องจากตอนที่แล้วเราพูดถึงช่วงหัวค่ำเป็นช่วงโหมโรงด้วย Cocktail ไปแล้ว ต่อจาก Cocktail ควรเป็นอะไรที่ไม่หนักมาก ผมคิดว่าการไปฟังแจ๊สน่าจะเป็นทางเลือก เพราะบาร์แจ๊สหลายแห่งมักขายอาหารด้วย เราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาที่ร้านอาหารก่อน…

ดนตรีและการแสดงในนิวยอร์ก
ความโดดเด่นของนิวยอร์กในช่วงหลังจากพระอาทิตย์ลับขอบ(ตึกระ)ฟ้าไป ก็คงเป็นเรื่องของดนตรีและการแสดง เพราะที่นี่เป็นต้นกำเนิดของดนตรีหลากหลายประเภทเซ่น Jazz, Rock , Blues, หากเป็นรุ่นเก่าหน่อย หรือถ้าเป็นรุ่นหลังก็ Hip Hop, Freestyle, Doo Wop, Bebop, Disco, Punk Rock, หรือ New Wave และที่นี่ก็เป็นแหล่งที่ศิลปินดังถือกำเนิดหรือโด่งดังขึ้นที่นี่เช่นกัน ส่วนการแสดงก็มีละครเวที ละครร้องหรือ โอเปร่า

ดังนั้นการจะดูการแสดงของบรรดาเหล่าศิลปินในสไตล์ดนตรีและการแสดงที่เราซอบจะมีให้เลือก 2 แบบ

1.สถานที่แสดงดนตรีและการแสดง Concert Hall หรือ Music Hall
การไปดูแต่ละครั้งท่านจะต้องตรวจสอบ NYC Event Calendar เพิ่อดูตารางการแสดงล่วงหน้าและอาจจะต้องจองตั๋วล่วงหน้าผ่านหน้าWeb-ที่ขายตั๋วสัก 1 เดือนเพื่อป้องกันผิดหวัง
สถานที่จัดแสดงที่นี่ก็ถูกบรรจงสร้างขึ้นมาให้มีแต่ระดับโลกทั้งนั้น มีระบบAcousticsที่ยอดเยี่ยม เช่นที่ Carnegie Hall สำหรับดนตรีClassic ประเภทวง Symphony Orchestra หรือ Radio City Music Hall ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1932, สร้างในสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco ก็เป็นที่จัดแสดงคอนเสิร์ตหลากหลายประเภท
Lincoln Center for the Performing Arts คือสุดยอดของสถานที่จัดแสดงของสถาบัน 12 สถาบันต่อไปนี้ที่จะสลับกันใซ้สถานที่จัดการแสดงชั้นเลิศ ได้แก่ Metropolitan Opera, New York Philharmonic, New York City Ballet, Chamber Music Society, New York City Opera, Juilliard School, Lincoln Center Theater, และJazz at Lincoln Center ในขณะที่วง The New York Philharmonic, วงOrchestra ที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกามักจะแสดงที่ Avery Fisher Hall,
และเนื่องจากที่เมืองนี้ได้รับอิทธิพลด้านดนตรีจากคนผิวสีอย่างก้วางขวาง สถานที่มักใช้จัดแสดงของศิลปิน African Americanก็คือ The Apollo Theater เป็นต้น
2. ประเภท Night Club
คลับต่างๆ ในนิวยอร์กมีบทบาทต่อความโด่งดังหรือโปรโมทดนตรีประเภทต่างๆ ของแต่ละยุค เช่น ถ้าเป็นพวกDisco, Rock, Punk Rock ก็ได้แก่ Studio 54, Max’s Kansas City, Mercer Arts Center, ABC No Rio และCBGB’s หรือถ้าเป็นแจ๊สก็จะมีพวก Major Jazz Club sระดับโลก ได้แก่ Birdland, Sweet Rhythm, Village Vanguard และThe Blue Note ในสมัยปัจจุบันยุคที่เพลงElectronicเสียงsamplingจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บรรดาDJ ดังนำมาทำเพลง หรือเอาเพลงคนอื่นที่มีอยู่มาทำแบบที่เรียกว่า Remixed เกิดเป็นเพลงประเภท House, Acid-Jazz , Groove Collective หรือ Nuyorican Soul ก็มักจะหาฟังกันได้ที่คลับแถวถนน 52nd

เนื่องจากตอนที่แล้วเราพูดถึงช่วงหัวค่ำเป็นช่วงโหมโรงด้วย Cocktail ไปแล้ว ต่อจาก Cocktail ควรเป็นอะไรที่ไม่หนักมาก ผมคิดว่าการไปฟังแจ๊สน่าจะเป็นทางเลือก เพราะบาร์แจ๊สหลายแห่งมักขายอาหารด้วย เราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาที่ร้านอาหารก่อน

city-break-new-york-city-part-x-ep2-1

แต่ก่อนไปฟัง Jazz ต้องปูพื้นกันแบบย่อๆ เล็กน้อย เพื่อให้ได้อรรถรสว่า Jazz ในนิวยอร์กเริ่มโด่งดังมาตั้งแต่ซ่วงปี 1920’sเมื่อวง Fletcher Henderson’s Jazz Orchestra ที่มีนักดนตรีอย่าง Coleman Hawkins และ Louis Armstrong ที่มาจากNew Orleans เริ่มค้นพบดนตรีแจ๊สในสไตล์ New York’s Big Jazz Bands ในขณะที่ตำนานแจ๊สอย่าง Duke Ellington ก็ย้ายมาจาก Chicago มาเล่นที่ New York ยิ่งตอนที่ Big Band Jazz พัฒนาเข้าสู่แจ๊สแบบ Swing Musicซึ่งมี Jimmy Dorsey และBenny Goodman เป็นหัวหอกนั้น การพัฒนาของนักดนตรีนักร้องก็ยิ่งเข้าสู่มาตรฐานที่สูงขึ้นไปอีก ตัวอย่างศิลปินก็คือ Billie Holiday และElla Fitzgerald

แล้ว New York’s Jazz Scene ก็เริ่มมีประเภทหรือแขนงต่างๆ(genre)ของแจ๊ส เช่น Bebop ในช่วงกลางปี 1940 มีนักดนตรีดังอย่าง Charlie Christian, Dizzy Gillespie, Charlie Parker และThelonious Monk เป็นตัวชูโรง จนกระทั่งเข้าปี 1950’s, Standard Jazz เป็นที่นิยมในหลายเมืองของอเมริกามากขึ้น โดยเฉพาะฝั่ง West Coast เกิดเป็นประเภท Cool Jazz ขึ้นมาโดยนักดนตรีจากนิวยอร์กทื่อ Miles Davis จากนั้นก็เกิดประเภท Hard Bop โดยศิลปินจากNYCเช่นกัน คือ Sonny Rollins และArt Blakey สุดท้ายของยุค Standard Jazz ก็คือยุคปลาย 1950’s เกิดประเภท Free Jazz ที่มีศิลปินดังอย่าง John Coltrane แลพวกคือ Albert Ayler และSun Ra เป็นตัวชูโรง ก่อนที่แจ๊สจะเข้าสู่ยุคของ Modern Jazz ซึ่งมักจะเป็นดนตรีจากฝั่ง West Coast แล้ว

 

แนะนำ Jazz Bar

จริงๆ แล้วJazzมันไม่สำหรับทุกคน แต่ถ้าคุณเกิดเป็นคอแจ๊สขึ้นมาแล้วได้โอกาสมาที่นี่ ผมว่าคุณคงจะพลาดมากๆ หากไม่ได้ไปJazz Barที่เมืองนี้ เพราะบาร์หรือHallหลายๆ แห่งที่นี่มันคือตำนานแห่งแจ๊สครับ มันแทบจะเป็นสถานที่ศักดิสิทธิ์เลยสำหรับนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ ที่ต้องทำความเคารพบรรดารุ่นพี่รุ่นพ่อระดับบรมคูรแจ๊สที่เคยบุกเบิกที่นี่มาก่อน ขอแนะนำให้ไปแถวเขต West Village ลองเช็ครายละเอียดและโปรแกรมของสถานที่เหล่านี้ดูครับ

 

Best Jazz Clubs in NYC

Birdland

birdland

หากท่านเคยฟังเพลงของคณะ The Manhattan Transfer ท่านอาจเคยฟังเพลงที่ชื่อนี้ แต่จริงๆ แล้วเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาโดยวง The Weather Report ในปี 1977 อยู่ในอัลบั้ม Heavy Weather แน่นอนชื่อเพลงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้เกียรติ คลับชื่อดังบนถนน 52 แห่งนี้ ที่เป็นสังเวียนการดวลโซโล่เดี่ยวหรือการ Improvise ของบรรดานักดนตรีแจ๊สระดับปรมาจารย์ ว่าแต่ทำไมคลับนี้มีชื่อนี้ล่ะ อันนี้คงต้องบอกว่าเป็นเพราะนักดนตรีที่ชื่อ Charlie Parker (คอแจ๊สStandardรู้จักกันดี) ที่เคยมาลงเล่นประจำที่นี่ เขามีฉายาว่า “The Bird” พอเขามาลงเล่นที่นี่บ่อยๆ ก็เลยเป็นที่ๆ เรียกกันว่า Birdland นั่นเอง

 

Blue Note

blue-note-new-york

The Blue Note ได้รับฉายาอันทรงเกียรติว่าเป็น “The Jazz Capital of The World” ผมคงไม่ต้องอธิบายให้เสียเวลาว่าทำไมคุณถึงควรจะไปสัมผัสบรรยากาศที่นี่ ก็ขนาดนักดนตรีดังๆ เมื่อได้ขึ้นเวทีที่คลับแห่งนี้ยัง‘ขนลุก’เพราะความตื่นเต้น แล้วอย่างเราไปดูเขาแสดงถ้าไม่‘ขนลุก’ก็คงเป็นคนไร้อารมย์อย่างแรง ผมมั่นใจว่าท่านที่มีแผ่นเสียงเพลงประเภท Standard Jazz อยู่คงจะมีบางแผ่นหรือหลายแผ่นที่อัดการแสดงสดจาก Bluenote

 

Jazz Standard

jazz-standard

ดูจากข้างนอกที่นี่ก็เหมือนเป็นร้านอาหาร Danny Meyer’s Blue Smoke Barbecue แต่ลงไปในห้องใต้ถุนข้างล่างเราจะเจอกับ The Jazz Standard ที่เล่นเพลงสุดมันสไตล์ Groovy, และSwinging ที่นี่เคยเป็นเวทีBill Frisell และ Jimmy Cobb เป็นวงที่เล่นสไตล์big band ไหนๆมาที่นี่เราก็ควรสั่งBBQจากร้านข้างบนมาทานควบคู่ไปด้วย เพราะจริงๆ แล้วผมว่ามันเข้ากันเนื่องจาก JazzและBBQ มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกันคือเริ่มมาจากทางภาคใต้ของอเมริกานั่นเอง
Jazz Standard อยู่ที่ 116 East 27th Street ระหว่างPark Ave South และ Lexington Ave เขตFlatiron (212-576-2232, jazzstandard.net)

 

JAZZ AT LINCOLN CENTER

jazz-at-lincoln-center

ที่นี่ไม่ใช่คลับแต่เป็นConcert Hall เราควรต้องไปสัมผัสเพราะแม้แต่คนที่ไม่อยากฟังแจ๊สยังอยากเข้าไปดูเ พราะสถานที่โอ่อ่าหรูหราจำลองแบบจาก Greek Amphitheater ตกแต่งด้วยกระจกสูงโปร่งมองออกไปหลังเวที เห็นวิววงเวียน Columbus Circle และCentral Park ที่นี่มักจัดเทศกาลแจ๊สดังๆ อย่างเช่น John Coltrane Festival
Jazz at Lincoln Center อยู่ที่ Broadway ตัด 60th Street เขต Upper West Side (212-258-9800, jazzatlincolncenter.org)

 

THE IRIDIUM

the-iridium
The Iridium เป็นสถานที่แสดงประจำของตำนานมือกีตาร์อย่างนาย Les Paul, แม้ว่าชาร์จค่าเข้าแพงหน่อยแต่คุณภาพของแจ๊สที่นี่ก็ยังสมราคาอยู่ แต่ควรต้องตรวจสอบตารางการเล่นดีๆ เพราะมีวงหมุนเวียนสลับกันมาแสดง ถ้ามาเจอวงที่ไม่ใช่ไตล์ที่ต้องการแล้วโดนค่า Cover $40, บวกอย่างต่ำ $15 ของอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องสั่งคงจะเข็ดไปอีกนานในความไม่คุ้ม
The Iridium อยู่ที่ 1650 Broadway ระหว่าง 50th และ 51st Street เขตMidtown West (212) 582-2121, theiridium.com)

 

VILLAGE VANGUARD

village-vanguard

ที่นี่เก่าแก่กว่า 78 ปี แล้วอยู่ย่าน West Village ได้ชื่อว่าเป็น The Most Serious Club in Town และสำหรับนักดนตรีแจ็สเองที่นี่ถือเป็น”The Carnegie Hall of Jazz” เนื่องจากมีระบบซึมซับเสียงทำให้มี Acoustics สมบูรณ์แบบเข้ากับแสงไฟสลัวได้ Mood ดีมากๆ ที่นี่ต้อนรับนักดนตรีอย่าง Thelonious Monk, Bill Evans หรือ Miles Davis มานับครั้งไม่ถ้วน ตั๋วราคา $25 และต้องสั่งอย่างต่ำ 1 ดื่ม ที่นั่งก็ระบบ first-come first-serve แต่แม้จะมาสายที่นั่งด้านหลังก็ไม่ได้ไกลเวทีมาก เพราะคลับนี้ไม่ได้ใหญ่มากนักขนาดกำลังCozy
Village Vanguard อยู่ที่ 178 7th Ave South ระหว่าง Perry Street และ Waverly Place เขต West Village (212-255-4037, villagevanguard.com) 

 

BARBES

barbes-bar-brooklyn-nyc

หากท่านอยู่แถว Brooklyn แต่มีอารมณ์แจ๊ส คุณก็มา Park Slope ได้เลย มันไม่ได้หรูหรา แต่เราเน้นดนตรีครับ ไวน์อาจไม่เหมาะนักก็ต้องเบียร์ครับ ที่นี่ยังมีดนตรีแปลกลักษณะ Global Music ที่มีวงดนตรีรับเชิญจากทั่วโลกผลัดกันมาEntertain เช่นวง Slavic Soul Party และCumbia Band Chicha Libre and the Guinean Mandingo Ambassadors
Barbes อยู่ที่ 376 9th Street ระหว่างถนน 6th และ 7th Ave เขต Park Slope, Brooklyn (347-422-0248, barbesbrooklyn.com)

 

SMALLS

smalls-new-york

ถ้าชอบแบบดิบๆ อยู่ใต้ถุนในห้องแคบๆ มืดๆแบบหนัง Film Noir ละก็น่าไปลองดูครับ ค่า Cover Charge $20 แต่บรรยากาศสไตล์ Underground แบบนี้หายากแล้วที่จะมีให้สัมผัสแบบ Smalls Jazz Club
Smalls อยู่ที่ 183 West 10th Street ระหว่าง4th Street กับ 7th Ave South เขต the West Village (212-252-5091, smallsjazzclub.com) 

 

SMOKE JAZZ CLUB

smoke-jazz-club-new-york

ใครที่พาเพื่อนที่ไม่ใช่คอแจ๊สไปขอแนะนำที่นี่เพราะมีอาหารSupperอร่อยๆ ให้ทานไปด้วยฟังไปด้วย อย่างผมไปคงไม่สนอาหารนักเพราะเป็นคนชอบฟังแจ๊สอยู่แล้วก็จะตั้งใจฟังไป อย่างแฟนผมอาจไม่ชอบฟังก็สั่งอาหารแล้วก็ทานไป สรุปแล้วลงตัวครับ แต่ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่สำหรับSerious Jazz Fan มันคือที่ๆ นักดนตรีอย่าง George Coleman, Bill Charlap , Wynton Marsalis เคยเล่นประจำอยู่ มีค่า Entertainment Charge ($20-$40) ดนตรีดีระบบเสียงเยี่ยม และอาหารมื้อดึกที่แนะนำคือ Buttermilk Fried Chicken ($24.95) และซี่โครงหมู Short Ribs ($33) สถานที่เล็กควรต้องจองครับ
Smoke Jazz Club อยู่ที่ 2751 Broadway ระหว่างถนน 105th และ 106th Street เขต Upper West Side (212-864-6662, smokejazz.com)

City Break: New York City Part X (Episode.1 Cocktail Bar)

Night Out In The City That Never Sleep…

ถ้าท่านติดตามเรื่องราวของ City Break New York มาตลอดนั้น เราก็คงพอจะได้ไอเดียในการbreakใช้ชีวิต2-3วันที่นี่พอสมควรแล้ว แต่อาจจะรู้สึกว่าก่อนจะจากเมืองนี้ไป มันเหมือนกับขาดอะไรไปอย่างนึง ใช่แล้วครับเราคงจะจากเมืองนี้ไปไม่ได้ถ้าไม่ได้เที่ยวกลางคืนในมหานครแห่งนี้สักหน่อย เพราะมันเป็นที่สุดของเรื่องแสง, สี, เสียง แบบต้นตำรับ ที่เอาใจทุกรสนิยม ทุกสไตล์
การเที่ยวกลางคืนของที่นี่มันก็คงเริ่มต้นมาตั้งแต่โทมัส เอดิสันคิดค้นไฟฟ้า, ไมโครโฟน, เครื่องเสียงขึ้นมาได้ไม่นาน พวกละครเวทีแบบmusicalแถวBroadway ก็เริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นๆ ปี 1900 แต่ถ้าจะมันเข้ายุคของผมหน่อยที่มาเมืองนี้แรกๆ ก็คงย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปี 70 ตอนนั้นใครบ้างที่จะไม่รู้จัก Studio 54 ดิสโก้เทคดังที่เกิดมาพร้อมๆ กับดารา John Travolta จากหนัง Saturday Night Fever แต่ไนท์ไลฟ์ของนิวยอร์กมันไม่ได้ตายไปพร้อมกับยุคของดิสโก้ มันปรับตัวเข้ากับสมัยหรือนำสมัยมาตลอด ลองมาดูทางเลือกที่ผมเสนอดีกว่าครับ ชอบแบบไหนลองไปดูครับ (จะมีประมาณ 3 Episode หรือ 3 ตอนย่อย)

 

image

เริ่มจากช่วงหัวค่ำกันก่อน(โหมโรง)

ไปดื่ม ‘Manhatton’ ที่ Cocktail Bar ระดับโลกกัน
มหานครแห่งนี้มีบาร์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเบียร์บาร์, ไวน์บาร์ หรือวิสกี้บาร์ชั้นดี แต่ที่ถือว่าล้ำหน้าเมืองอื่นๆ คงต้องยกให้ Cocktail Bar เนื่องจากนิวยอร์กเป็นที่รวมตัวของบาร์เทนเดอร์หรือบาร์เทนดี้ระดับแนวหน้าซึ่งปัจจุบันเขาเรียกตัวเองเท่ๆ ว่า Mixologist กันแล้ว ความหมายก็คือ ‘นักผสม’ อาจเป็นเพราะเป็นที่ๆ อาชีพดังกล่าวมีรายได้ดีมากๆ ในเมืองนี้ แล้วในเมื่อคุณมาถึงบาร์เหล่านี้คุณจะสั่งแต่ไวน์หรือเบียร์คงไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้ใช้ฝีมือชงจากบรรดาบาร์เทนเดอร์มืออาชีพเลยแค่รินเฉยๆ เอง ผมแนะนำให้ลองสั่งเหล้าค็อกเทลสักแก้วครับ เพราะมันใช้ฝีมือชงและผสมอย่างชำนาญอาจแถมลีลาน่าดูมาให้ด้วย และถ้ามาที่เมืองนี้แล้วต้องการค็อกเทลที่คิดค้นมาจากที่นี่ก็ต้อง ‘Manhattan’ เท่านั้นครับ มันมีประวัติว่ามันถูกทำมาตั้งแต่ปี 1870 ที่ Manhattan Club ที่เมืองนี้ โดย Dr. Iain Marshall เนื่องในงานเลี้ยงที่มีเจ้าภาพเป็น Jennie Jerome (Lady Randolph Churchill, แม่ของWinston Churchill) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สมัครคัดเลือกตำแหน่งประธาณาธิบดีของสมัยนั้นที่ชื่อ Samuel J. Tilden. แต่บางแหล่งก็บอกว่าทำคิดขึ้นมาที่บาร์แถว Broadway ใกล้ถนน Houston โดยบาร์เทนเดอร์ชื่อ Black ในปี 1860 ต่างหาก แต่ช่างมันเถอะครับ ถ้าเราต้องดื่มCocktail Manhattan ดีๆ บนเกาะ Manhattan ก็ให้ลองไปที่บาร์เหล่านี้ (ดูที่listข้างล่าง)

 

สุดยอด Manhattans ใน NYC

ไปดื่ม Manhattan ที่ Booker and Dax

จริงๆ แล้วที Booker and Dax ดังเรื่องการผสมเหล้าจิน (Gin) แต่ความทันสมัยคิดนอกกรอบของที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ Manhattan ของร้านซึ่งเป็นค็อกเทลประเภทจารีตนิยม Old School มันดูด้อยไปตามสมัยที่นิยมของแปลกใหม่ ที่นี่จะเสิร์ฟด้วยแก้วแบบChillไอเย็นลอยฟุ้ง แล้วจึงรินตัวค็อกเทลลงตรงหน้าคุณ รสมันจะคม (Crisply Refreshing) แห้งผากแต่สดชื่นไม่เหมือนเหล้าที่ไม่โดนเจือจางโดยน้ำหรือน้ำแข็ง East Village

 

ไปดื่ม Manhattan ที่ Bemelmans Bar

bemelmans-bar

บางครั้งการดื่มอะไรที่พิเศษ สถานที่มันก็เกี่ยว สมัยที่นิวยอร์กเข้าสู่ยุคฟู่ฟ่านั้น เป็นยุคศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco ถ้านึกไม่ออกก็ลองนึกถึงตึก Empire State หรือตึก Chrysler หรือในช่วงที่มีการแต่งตัวแบบในหนังเรื่อง The Great Gatsby นั่นแหละครับ อยากให้มาที่นี่โรงแรม Carlyle Hotel ที่มี Upscale Piano Bar ที่มีจิตรกรรมฝาผนังชื่อดังของ Ludwig Bemelmans ที่มาของชื่อบาร์ แต่บางครั้งรู้จักกันในนามของ Carlyle’s Jazz Club, มันตกแต่ด้วยศิลปะแบบ Art Deco เรียบหรู ประดับประดาด้วย 24-Karat Gold-Leaf ตามมุมเสาและเพดาน แต่อย่ามัวตื่นตาตื่นใจกับงานศิลปtจนลืมสั่ง Manhattan รสคมเข้มมาจิบให้มันรู้สึกร้อนๆ ที่หน้าหน่อย และที่นี่ก็ยังมี Live Jazz ฝีมือของ Chris Gillespie สุดยอด Jazz Piano ได้บรรยากาศเหลือหลาย

 

ไปดื่ม Manhattan Cocktail ที่ Employees Only
ย่าน East Village

employees-only

Employees Only คือบาร์ชื่อเท่อยู่ย่าน West Village ที่นี่ถือเป็น Craft Cocktail Institution ที่เน้นบาร์เทนเดอร์มือฉมังขึ้นชื่อเรื่องอาหารมื้อดึก และเหล้าแก้วสุดท้ายก่อนจาก (One for the road) เหล้า Manhattan ของที่นี่ใช้วิสกี้ Rittenhouse Rye ผสม Sweet Vermouth และ Grand Marnier เหยาะด้วย Traditional Angostura Bitters แล้วคนให้เข้ากันแบบมืออาชีพเรียกว่าคุ้มค่าราคา $16 ที่สุดแล้วครับ

 

Other cocktail variety

ทีนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า Mahattan อาจไม่ใช่ Cocktail สไตล์ที่ผู้หญิงชอบนะครับ เพราะมันผสมแบบครึ่งๆ จากอเมริกันวิสกี้โดยเฉพาะที่ทำจากข้าวRye (แคนาเดียนวิสกี้ก็ได้) กับเวอร์มุตอิตาเลียน ตามด้วยเหล้าขมอิตาเลี่ยน(Bitter)นิดหน่อย ซึ่งอาจแรงไป(Punchy) สำหรับผู้ไม่ถนัดเราก็สามารถสั่งจาก Cocktail List ในเมนูได้ แต่ถ้าไม่มีไอเดียใดๆ เลยก็สั่งตัวใดตัวหนึ่งจาก Top 10 Most Popular Cocktail ที่ผมแนะนำข้างล่างนี้แล้วกันครับ
เร็วๆนี้มีการทำสำรวจจากบาร์ค็อกเทลดังๆทั่วโลกเพื่อหาอันดับ1-10 ของค็อกเทลที่เป็นที่นิยมสั่งมากที่สุดในโลก ก็ออกมาตามlistข้างล่างนี้ครับ ผู้ที่ไม่สันทัดก็จำชื่อไปลองสั่งได้เลย

1.Old Fashioned

2.Mojito

3.Negroni

4.Manhattan

5.Dry Martini

6.Martini

7.Margarita

8.Whisky Sour

9.Cosmopolitan

10.Dark & Stormy

ที่มา: http://drinksint.com/
ตัวอย่าง ค็อกเทล ชื่อดังอันดับ 3 คือ Negroni ที่เหล้าBase เป็น Gin ขึ้นชื่อมากที่บาร์ Gin Palace (ตอนนี้ปิดปรับปรุงอาคารทรุด)
“White Negroni” ที่ Gin Palace ถือว่าเป็นค็อกเทลที่แรงที่สุดสูตรหนึ่งในNew York

cocktail

Credit: Elilitetraveller.com

 

มาดู Bar Cocktail ที่คุณไม่จำเป็นต้องสั่งเฉพาะ Manhattan กันต่ออีกหน่อย

ATTABOY

ย่าน LOWER EAST SIDE

attaboy

เจ้าของที่นี่เป็น Bartenders เก่าแก่คือ Sam Ross และMichael McIlroy มาหุ้นกันเปิดAttaboy โดยตั้งใจวัตถุดิบชั้นดีเช่น เหล้า liquor คุณภาพ, น้ำผลไม้สด, น้ำแข็งจากน้ำบริสุทธิ์ ในขณะที่เน้นบรรยากาศแบบกันเอง less-formal atmosphere แถมยังไม่ทำให้ผู้ไม่สันทัดในเหล้าค็อกเทลต้องอึดอัด โดยไม่ต้องสนใจเมนู หากท่านสนใจจะดื่มเหล้าหลักเป็นอะไร เช่น วิสกี้, รัม หรือจิน ก็สั่งว่าอยากดื่มเหล้าหลักเป็นจิน บาร์เทนเดอร์จะสร้างสรรค์มาให้คุณเองให้ลองรายการพิเศษของที่นี่ เช่น Penicillin, ซึ่งผสมจาก Whiskey, Honey-ginger Syrup, มะนาว และ Islay Scotch

 

CLOVER CLUB
ย่าน COBBLE HILL

clover-club

ถ้าชอบสถานที่แบบเรียบหรูดูอินเตอร์ติดอันดับบาร์ค็อกเทลระดับโลก มีบริกรที่มีความเป็นมืออาชีพ และแน่นอนว่าเครื่องดื่มค็อกเทลที่สร้างสรรค์โดยบาร์เทนเดอร์ค่าตัวสูงคงต้องมาลองที่ Clover Club

 

ANGEL’S SHARE (ANNEX)
ย่านEAST VILLAGE

angels-share-annex

ว่ากันว่าเครื่องดื่ม Cocktails ที่นี่ ถือเป็นตัวเช็คมาตรฐานของเมืองเลยก็ว่าได้ มันอยู่ในย่านนี้มา20 ปี เป็นแบบ Old School Cocktail บาร์อยู่ใต้ดิน ผสมเหล้าแบบ Traditional แต่ตอนหลังมาเปิด The Annex ที่มีเหล้าแบบสร้างสรรค์แปลกใหม่ใจกว้าง ไม่ยึดติดอยู่กับความคิดเดิมอีกต่อไป

 

LEYENDA
ย่าน COBBLE HIL
leyenda
Courtesy of Leyenda.com

เราต้องยอมรับว่าค็อกเทลหลายๆ ตัวมาจากแถบอเมริกากลาง(แคริบเบียน) หรืออเมริกาใต้ เพราะเป็นแหล่งผลิตเหล้ารัมดังนั้นหากต้องการบาร์เทนเดอร์มือดีที่เป็นละตินสไตล์ ต้องมาที่นี่ Leyenda นอกเหนือจากนั้นอาหารที่นี่ก็ถือว่าเข้าขั้นพูดถึง เหล้ารัมนั้นถ้าดื่มแล้วติดใจอยากจะซื้อติดบ้านไว้ก็แนะนำเป็น The Best of Rum เลยละกันคงต้องเจาะจงยี่ห้อนี้เลยครับ Ron Zacapa เป็น Premium Rum ผลิตจากกัวเตมาลา

ron-zacapa

 

MACE
ย่าน EAST VILLAGE

mace_interior_bleicher

แนะนำ Cocktail Club’s Nico de Soto ที่นี่มักนำเอาสิ่งที่เหมือนจะเข้ากันไม่ได้มาผสมกันแต่ออกมาเป็นอะไรที่พิเศษและให้ลอง Yerba Mate, Aperol ผสม Beet Juice, Coconut Cordial และMace Mist แต่ถ้ายังไม่แปลกพอก็ลอง Saffron Cocktail ดูครับ

 

ประเภท Rooftop Bar
หากท่านมาที่นิวยอร์กในฤดูที่ไม่หนาวมาก การขึ้นไปดื่มบนยอดตึกที่เป็น Rooftop Bar หรือRestaurant ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก เพราะจะได้วิวและบรรยากาศตึกระฟ้าในนิวยอร์ก ต้องขอบอกว่าระยะหลังนี้ Rooftop Restaurant หรือบาร์เกิดขึ้นในทุกๆ เมืองทั่วโลก รวมทั้งที่กรุงเทพฯ เหมือนเป็นเทรนด์ที่ทำตามๆ กันมาแต่คงต้องยอมรับว่าที่ไหนๆ ก็ไม่เหมือนที่นี่ซึ่งเป็นต้นตำรับ และหากว่าท่านคิดว่าอยากจะไปชนแก้วกันบนตึกสูงละก็ลองไปที่เหล้านี้ดูครับ

 

Gallow Green
ย่าน Midtown

gallow-green

ชื่อ Gallow Green มาจากทุ่งในสก็อตแลนด์ที่เคยเอาไว้แขวนคอพวกนอกรีต แล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกแม่มด เลยเป็นที่มาของเครื่องแบบคนเสิร์ฟที่นี่ที่เป็นผ้าคลุมสีขาวสไตล์ผีฝรั่ง มีที่นั่งด้านนอกที่เป็นสวน และด้านในที่แต่งแบบตู้สเบียงรถไฟที่เก่าๆ หลอนๆ หน่อย ตามcoceptของบาร์นี้ มาที่นี่ให้สั่งVanessa’s Cup ทำจากเหล้ารัม, Pimm’s, sirop de canne—ที่ทำจาก syrup ผสมcinammon และvanilla— strawberries, ginger และnettle tincture ราคาแก้วละ $14

 

Top of the Strand
ย่าน Chelsea

top-of-the-strand-summer

Courtesy of top of the Strand.com

ถ้าอยากได้วิวของที่สุดของแลนด์มาร์กของเมืองนี้ ต้องมาที่ชั้น 21 ของโรงแรมStrand คุณจะได้วิวแบบสุดๆ ของตึก Empire State ที่มีตึกอื่นเป็นbackground การมาดื่มที่นี่เหมือนจะคุ้มมากๆ ไม่ต้องกลัวว่าฝนจะตกมาทำลายบรรยากาศเพราะที่นี่มีหลังคากระจกที่พร้อมจะเลื่อนเปิดปิดให้เหมาะกับฤดูอีกต่างหากราคา Specialty Cocktails ก็เริ่มจาก $15 ถ้า beer ก็แค่ $9

 

Berry Park
ย่าน Midtown West

3-z-hotel-rooftop

หากต้องการวิว Manhattan Skyline ข้ามฝั่งจากแม่น้ำ East River ที่นี่น่าจะเหมาะเพราะมีDeckขนาด 3,000 ตารางฟุต และหลังคากระจกเปิดปิดได้เผื่ออากาศไม่เป็นใจ มาที่นี่อาจต้องลองเบียร์ด้วย ให้ลองสั่ง Schöfferhofer หรือHefeweizen ($7) และไหนๆ ก็เยอรมันดริ๊งแล้วก็ต้องสั่งไส้กรอก Bratwurst with Sauerkraut ($6)

 

Pod 39 Rooftop
ย่าน Greenpoint ใน Brooklyn

pod-39-rooftop

Credit:Dave Wilson Photography

แนะนำแต่สถานที่แบบupscaleมาหลายแห่ง ขอแนะนำแบบพื้นๆ บ้าง ถ้าชอบเหล้าMexicanแบบ Margarita, , Tequila และบรรยากาศดิบๆ ก็ต้องมาที่ Rooftop Bar, ที่อยู่ชั้น17 แห่งนี้มีวิว East River และถ้าต้องการกับแกล้มที่นี่ก็มี Tacoที่ขึ้นชื่อ

ใน Episod2 เราจะมาพูดถึงที่เที่ยวกลางคืนแบบอื่นๆ หลังจากที่เราโหมโรงกันด้วยค็อกเทลจนหน้าเริ่มร้อนกันแล้ว ตอนหน้าจะมีการแนะนำ Jazz Bar และ Live Music Hall ของที่นี่ด้วย

 

City Break: New York City Part IX

เบรกทานมื้อเย็น Dinner Break

สำหรับมื้อเย็นในนิวยอร์ก ผมขอนำเสนอให้เลือก 2 รูปแบบ แบบคลาสสิก หรือการไปกินร้านอาหารในตำนานของมหานครแห่งนี้ที่เปรียบเสมือนสถาบัน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และอีกแบบเป็นแบบร่วมสมัย คือร้านอาหารที่บริหารจัดการโดย Celebrity Chef หรือพ่อครัวระดับโลกที่สร้างชื่อด้วยการทำร้านหรูหราที่มาพร้อมกับรายการอาหารที่สร้างสรรค์จากประสบการณ์ และจิตนาการที่เหนือชั้น

 

แบบ Classic Old School

ไม่ว่าสไตล์หรือ Trend ของการกินการบริการมันจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็คงยังต้องวนเวียนกลับมาที่ต้นกำเนิดของมัน ใช่ครับผัดกระเพรากับส้มตำแบบดั่งเดิมมันต้องดีกว่า Fusion ถ้าพูดแบบบ้านๆ ก็คือดัดแปลงหรือกลายพันธุ์แน่นอน หลายๆ คนก็ยังอินกับร้านแบบ Old Love, Old-School หรือแบบ Hometown Places แต่ความเก่าแก่ไม่ได้หมายถึงว่ามันดีหรืออร่อยเหมือนเดิมเสมอไป ในนิวยอร์กจึงมีเหลืออยู่ 5 แห่งนี้ที่แนะนำครับ

 

Delmonico’s

2015_0529delmonicos-105432

delmonicos_marleywhite_003__x_large

เปิดมาตั้งแต่ปี 1837 ร้าน Delmonico’s คือร้านที่เรียกตัวเองว่าเป็นภัตตาคารแห่งแรกในมหานครแห่งนี้และก็เคยเป็นร้านอาหารประเภท Fine-Dining Restaurants ที่ดีที่สุดที่นี่หลายปี ลูกค้าประจำก็มีแบบประธานาธิบดี Theodore Roosevelt, นักเขียนชื่อ Mark Twain และจักรพรรดิ Napoleon ที่ III มี Signature Dishes ที่สร้างชื่อก็ Baked Alaska, The Eggs Benedict และ The Lobster Newberg ที่อยู่ก็แน่นอนว่าอยู่ที่เดิม Delmonico’s, 56 Beaver St, New York  คลับคล้ายคลับคลาว่าตึกนี้กลายเป็นของว่าที่ประธานาธิบดีTrumpไปแล้ว

 

Grand Central Oyster Bar

trainstations0515-grand-central-oyster-bar

เปิดตั้งแต่ปี 1913 The Grand Central Oyster Bar อยู่เป็นร้านคู่บารมีกับสถานีรถไฟ Grand Central Station มาตั้งแต่เปิด คล้ายๆ กับร้าน Le Train Bleu ในสถานี Gare de Lyon ใน Paris ที่ให้บริการนักเดินทางโดยรถไฟมาตั้งแต่ปี 1901 เช่นกัน เมื่อก่อนนี้ใช้ขื่อ “Buffet de la Gare de Lyon” ที่คล้ายกันอีกเรื่องคงเป็นเพราะขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลเช่นกันด้วย แต่จานที่ต้องลองและดังของร้านที่นิวยอร์กคือ Oyster Stew. Grand Central Oyster Bar, 89 E 42nd St, New York

 

Keen’s Steakhouse

keens-steak-house

img_8926v

เปิดมานานมากแล้วตั้งแต่ปี 1885 ร้านสเต็กที่จัตุรัส Herald ร้านนี้เกิดมาในช่วงที่การสูบไปป์เป็นที่นิยมก็เลยเกิด “Pipe Tradition” ขึ้นที่นี่ และมีการก่อตั้งสมาคม Pipe Club และยังมีคอลเล็กชั่นสะสมไปป์แบบก้านยาวที่เรียกว่า Churchwarden Pipes มากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1950s มันเรียกว่าไปป์อ่านหนังสือในเยอรมัน เพราะก้านมันยาวออกไปไม่รบกวนสายตาบังตัวหนังสือที่อ่าน และควันก็ไม่ใกล้หน้าผู้สูบมากไป มาที่มีต้องสั่ง แกะครับ จานนี้เลย Keen’s Mutton Chop ติดอันดับบรรดาอาหารจานเนื้อที่นี่มานานแล้ว Keen’s Steakhouse, 72 West 36 St, New York

 

Peter Luger

4-peter-luger-dining-room_650

home_banner-stkdnr_1

ร้านสเต็กในตำนานร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1887 แต่ชื่อเสียงและคุณภาพก็ยังเดินทางมาพร้อมอายุ คือมันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เสมอมา Peter Luger ยังติดอันดับ1ของร้านสเต็กใน NYC อย่างต่อเนื่อง แม้ใน 28 ปีให้หลังมานี้. การจองสำหรับกินมื้อเย็นยังใช้เวลาเป็นเดือนอยู่ คุณคงต้องลองจองเป็นมื้อกลางวันดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่า Peter Luger, 178 Broadway, New York

 

P.J Clarke’s

lincoln_location_2-1600x900

เปิดมาตั้งแต่ปี 1884 ร้าน P.J Clarke’s มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นร้านที่มี Best Burgers ใน NYC ร้านนี้มีความขลังในสไตล์แบบpubในอังกฤษ P.J Clarke’s, 915 3rd Ave, New York

 

Fraunces Tavern

Frauces Tavern Manhatten NYC - ExplorationVacation.net

Photo Credit: Cindy Carlsson

3980780691_ef4fe74140_z-553x415

เก่าแก่กว่าทุกร้านที่บอกมาเพราะที่นี่เปิดในปี 1762 Fraunces เป็นร้านในแบบ Tavern ที่เป็นประวัติศาสตร์เช่นในช่วงสงครามกลางเมืองหรือ American Revolution นายพล George Washington กล่าวคำอำลาทหาร Continental Army ณ ที่แห่งนี้ แถมในปี1960s ตึกแห่งนี้ยังได้รับการประกาศให้มีฐานะเป็นแลนด์มาร์คของเมืองนี้ และบางส่วนของอาคารก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว Fraunces Tavern, 54 Pearl St, New York

 

McSorley’s Old Ale House 15 E 7th St, New York

mcsorleys_old_ale_house_east_village

ซาลูนแห่งนี้เปิดในปี 1854 เป็นไอคอนของย่าน East Village หากท่านชอบIrish Pub แบบดั่งเดิม เบียร์สีเข้มที่ทางร้านbrewsเอง ต้องเดินบนพื้นไม้เสียงอ๊อดแอ๊ด น่าจะมาแวะถ้าผ่านมาย่านนี้ ผมไม่แน่ใจว่าใช่ร้านนี้หรือเปล่า เพราะเห็นแค่แว็บๆ ในหนังดังของ Clint Eastwood เรื่อง Sully ที่ Tom Hank ได้บทกัปตันที่ต้องนำเครื่องairbus 320ลงฉุกเฉินในแม่น้ำฮัดสัน มีอยู่ฉากนึงที่เค้าออกมาแวะดื่มเบียร์ในร้านที่คล้ายร้านนี้มาก และมีประโยคหนึ่งในหนังที่ผมชอบก็คือเมื่อตอนเครื่องได้ออกจากสนามบินลากัวเดียตรงเวลาและบรรดาลูกเรือรู้สึกโล่งใจ เพราะสนามบินนี้ขึ้นชื่อเรื่องflight delay ผมก็ยังขำเพราะเคยดีเลย์ อยู่ที่นี่ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3

 

’21’ Club 21 W 52nd St, New York

21-club

ร้านนี้ก็เก่าเปิดในปี 1930 แต่มันก็ยังขึ้นชื่อเรื่อง Steak Tartare และ Center Cut Filet Mignon เห็นเก่าๆ แบบนี้มีบรรดา Celebs แบบ George Clooney, Olivia Wilde, Bruce Willis, Shia LaBoeuf และอื่นๆ เวียนวนกันมาใช้บริการ

 

II  แบบ Celebrity Chef

บรรดา Celebrity Chefs ได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบของอุตสาหกรรมอาหารในอเมริกาแบบตามกันไม่ทัน มันไม่ใช่มาในรูปแบบที่หรูเว่อร์หรือราคาแพงเป็นหลักหมื่นแสนอย่างที่เราหลายคนคิดกันเสมอไป บางความคิดบางรูปแบบที่ร้านเหล่านี้ออกมาก็เป็น Casual Dining และราคาก็รับได้ ผมสังเกตว่าเชฟแต่ละคนก็มักจะมีร้านที่เป็น เรือธงFlagship ที่หรูหราต้องแต่งตัวกัน มี Dress Code กัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มักจะมีร้านแบบ Brand รองที่ลดหลั่นดีกรีความเข้มข้นออกมารองรับลูกค้าอีกกลุ่มเช่นกัน ดังนั้นหากเราศึกษาดีๆ เราก็เลือกร้านที่เหมาะกับเราได้เสมอแม้ว่าร้าน Celeb Chef ก็ไม่ต้องหวั่น

 

Aldea  

aldea-13
เชฟ George Mendes (Bouley, Wallsé) ได้เปิดร้านอาหารแห่งแรกของเขาที่บริเวณจัตุรัส Union Square ชื่อว่า Aldea ชื่อนี้มาจากภาษาโปตุกีสหมายถึงหมู่บ้าน สะท้อนถึงbackgroundของเชฟเอง และความตั้งใจในการกลับไปทำอาหารแบบคลาสสิก(แต่ใช้เทคนิคสมัยใหม่)ของโปตุกีส, สเปน และฝรั่งเศสแถบอ่าว Biscay ตัวอย่างอาหารก็เช่น Arroz de Pato เป็นปลาหมึกย่างราดซอสแบบโปตุเกส

 

A Voce Columbus
ร้านออกแบบได้ทันสมัยในสไตล์การออกแบบและรสชาติอาหารแบบมิลาเนส Milanese aesthetic แถมยังรับวิวของ Central Park ถือเป็น Italian Restaurant บนถนน Madison Avenue ที่มีรายการอาหารคลาสสิกของอิตาลีทางเหนือแบบ Baccalà, Branzino และTagliatelle กับซอสหมูและเนื้อ Ragù มีผู้กำกับดูแลคือ Chef Missy Robbins เธอมีชื่อเสียงรื่อง Pasta ด้วย Robbins สร้างชื่อมาจากการเป็นเชฟที่ร้านในชิคาโกชื่อร้าน Spiaggia ซึ่งเป็นร้านประจำของครอบครัว Obama เมื่อตอนที่อยู่ชิคาโกก่อนมาเป็นประธานาธิบดี

137870_0

Pancetta at A Voce Columbus. Photo: Quentin Bacon

 

Morimoto  
เป็นแบบไฮบริด หรือ East Meets West ที่กุมบังเหียนโดย Executive Chef ชาวญี่ปุ่น Masaharu Morimoto ดาราและกรรมการจากรายการทีวี Food Network’s Iron Chef และยังเคยเป็นอดีต Executive Chef ที่ภัคตาคารญี่ปุ่นชื่อดัง Nobu ที่นี่อาหารจะเป็นลูกผสมแต่มันผสานกลมกลืนแบบสร้างสรรค์และคิดไม่ถึง แล้วยังมีครัวเปิดโล่งให้เห็นการทำงานของเชฟด้วย

city-break-nyc-ix-1

Halibut at Morimoto. Photo: Daniel Krieger

 

Adour Alain Ducasse

city-break-nyc-ix-3

Courtesy, Adour Alain Ducasse at The St. Regis New York

Adour คือร้านเอกของ Alain Ducasse, Celebrity Chef ชาวฝรั่งเศสที่ดังที่สุดในฝั่งอเมริกาและอาจถึงขนาดคนหนึ่งในโลกก็ได้ เขาต้องการให้แขกที่มาทานอาหารที่นี่ได้ร่วมแชร์ความรู้สึกแบบละเอียดอ่อนที่น่าหลงใหลในอาหารแต่ละจานที่เขาประดิษฐขึ้น Adour นำเสนอเมนูตามฤดูกาล Seasonal Menu ที่สะท้อนรสชาติของท้องถิ่น แน่นอนว่ารสชาติและอารมณ์จะเป็นแบบอาหารฝรั่งเศสซึ่งมักต้องpairกับไวน์ที่เขานำเสนอด้วยว่าจานไหนต้องไวน์อะไร มันอาจจะหรูและแพงที่สุดในบรรดาทุกร้านของเชฟคนนี้ก็เป็นได้ ก็ร้านอยู่ในโรงแรมระดับ 6 ดาว The St. Regis New York

 

Nougatine at Jean Georges  

city-break-nyc-ix-3

Courtesy, Jean Georges

เป็นร้านที่ไม่ควรมองข้ามอยู่ในเขต Upper West Side นำเสนออาหารแบบlightไม่หนักมาก และยังมีราคาไม่หนักด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับร้านของ Super-Celeb อย่าง Chef Jean-Georges ชาวฝรั่งเศสจาก Alsace แต่มาดังที่NYC มีร้านอยู่ 10 ร้านใน NYC จาก 20 กว่าร้านทั่วโลก เชฟคนนี้ผมเคยรู้จักกับเขาตอนที่เคยทำงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เห็นเป็นตึกโดมทองชื่อ State Tower ย่านสีลมก่อนจะมาร้านอาหาร Sirocco, Mezzaluna และThe Dome นั้น เจ้านายเก่าผมเคยทาบทาม Chef Jean-Georges ให้มาทำร้านที่นี่ครับ เขามีหลายร้านที่แนะนำ  มี 2 แบบให้เลือก ถ้าหรูหน่อยก็ร้านสร้างชื่อที่ใช้ชื่อเต็มของเขาเลย  Jean Georges’s Fine Cuisine อยู่ Park AVE.West (ที่นั่น Three-Course Tasting Menu เริ่มต้นที่ราคา $98) ในขณะที่ร้าน Nougatine เป็นแบบ Five Courses ในราคา $68) บรรยากาศในร้านโล่งโปร่งสบาย เพราะใช้กระจกตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ที่นี่ยังเหมาะสำหรับการมาลอง Lunch หรือ Brunch

 

Del Posto

ร้านบรรยากาศโปร่งโล่ง เพราะเพดานที่สูงกว่าปกติ ร้านนี้เป็นการผนึกกำลังสร้างสรรค์และร่วมปล่อยวิทยายุทธในการทำอาหารอิตาเลี่ยนของเชฟที่รู้จักดีคือ Mario Batali, Joseph Bastianich และLidia Bastianich ที่นี่รับประกันผู้ที่หลงใหลใน Italian Cuisine ที่มีกลิ่นรสแบบเมื่อได้เข้าปากแล้วต้องหลับตาเพื่อจดจำอารมณ์หรือช่วงเวลาที่ต้องกลืนมันไป อย่าลืมว่าที่นี่มี Inventive Pastas ซึ่งหมายถึงซอสในรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำ ตามด้วยปลาและของหวานที่เหลือเชื่อ

 

Brasserie Les Halles  

city-break-nyc-ix-4

city-break-nyc-ix-2

Chocolate mousse. Courtesy, Brasserie Les Halles

ใครที่ชื่นชอบ Celebrity Chef ท้องถิ่นของนิวยอร์กที่เป็นนักเขียนและทำรายการTVเกี่ยวกับอาหารและการเดินทางที่ชื่อ Anthony Bourdain คงต้องมาที่ร้านของเขาที่นี่ Brasserie Les Halles มันเป็นแบบ Informal French Cuisine เหมือนกับ Brasserie ในปารีส แต่ที่นี่เปิดตั้งแต่เช้า 7:30am จนถึงเที่ยงคืน ขาย Breakfast, Brunch, Lunch และอาหารค่ำในแบบสบายๆ มีจานที่สร้างชื่อก็คือ Hamburger ที่มากับ Foie Gras Terrine และซอสเห็ด Truffle ที่นี่จานอาหารทะเลแบบในปารีสแล้วก็จานด่วนเวลาที่เข้ามาทานระหว่างมื้อ เช่น Quiche, Hanger Steak Salad หรือ Croque Monsieur พร้อมกับมีกาแฟพิเศษที่ใช้ Barista เป็นผู้เตรียมให้

 

โปรดติดตามตอนจบของ City Break NYC ได้ในตอนต่อไปที่ชื่อ Night Life In The Big Apple เป็นการท่องราตรีสั่งลามหานครที่ไม่เคยหลับใหล

City Break: New York City, Part VIII

Sweet Break เบรกทานของหวานในนิวยอร์ก

“…life is not merely a series of meaningless accidents or coincidences,but rather,it is a tapestry of events that culminate into an exquisite,sublime plan…..”

แฟนพันธุ์แท้ของหนังประเภทโรแมนติกคอมมิดี้คงจำประโยค(quote)ด้านบนจากภาพยนตร์ชื่อเท่ เรื่อง Serendipity (2001) ซึ่งพระเอกกับนางเอกมาเจอกันแบบบังเอิญที่ร้านชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง ผมดูเรื่องนี้เพราะ Kate Beckinsale ล้วนๆ(แม้ว่าจะไม่ได้ใส่ชุดหนังรัดรูปเหมือนในเรื่อง Underworld ) แบบไม่คาดหวังว่ามันจะออกมาดี แต่ปรากฎว่ามันดีเกินคาดเหมือนความหมายของชื่อเรื่องที่ความหมายแบบสั้นๆว่า pleasant surprise!

new-york-sweet-break-12-serendipity

new-york-sweet-break-7

ในความเป็นจริงร้านนี้เป็นร้านที่มีอยู่จริงใน NYC ชื่อ Serendipity 3 อยู่เลขที่  225 E. 60th St.,  โทร 212-838-3531 ระหว่างถนน 2 และ3 อยู่ใน Upper East Side ย่าน Little Italy  คือร้านอาหารชื่อดัง (ดังเรื่องของหวาน) เปิดมาตั้งแต่ปี 1954 แล้ว โดย นาย Stephen Bruce ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเอาชื่อมาจากตำนานแห่งเจ้าชาย 3 พระองค์แห่งเกาะ ‘Serendip’ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของศรีลังกามาเป็นไอเดียชื่อร้าน ซึ่งตอบคำถามคนที่ถามว่าทำไมต้องมี 3 ต่อท้ายชื่อร้านทั้งที่ไม่ใช่สาขา 3 แต่เพราะเจ้าชาย 3 พระองค์นี่เอง แต่บังเอิญหรือไม่ก็ไม่ทราบเพราะ คำนี้ในภาษาอังกฤษก็มีความหมายว่า ‘finding something good without looking for it’ (pleasant surprise!) ซึ่งเป็นความหมายที่ดี เพราะถ้าเราไม่รู้จักร้านนี้มาก่อนดูจากด้านนอกจะเป็นร้านเล็กๆ ไม่น่าสนใจ แต่พอได้เข้าไปแล้วกลับเจอของดีแบบไม่คาดคิดซึ่งตรงกับความหมายร้านแบบใช่เลย ร้านนี้โด่งดังมาตั้งแต่สมัยยุค Marilyn Monroe และสุภาพสตรีหมายเลข1ของอเมริกาตอนนั้นคือ Jackie O’(Jaclyn Kennedy Onassis)  ซึ่งทั้ง 2 เป็นลูกค้าประจำที่นี่

 

new-york-sweet-break-12

new-york-sweet-break-9

เมนูดัง (Signature) ของที่นี่คือ ‘Frrrozen Hot Chocolate’ (คล้ายช็อกโกแลตเช๊กค์) ถึงขนาดว่ามาดามจากทำเนียบขาวขอสูตรเพื่อจะไปทำเลี้ยงแขก VVIP ที่ทำเนียบ  แต่ถูกปฏิเสธโดยนาย Stephen Bruce ซึ่งเขาก็บอกว่าเขายินดีไปทำให้เองที่งานเลี้ยงดีกว่า ปัจจุบันนี้สูตรนี้หาได้จากหนังสือ  “Sweet Serendipity, a book of recipes and history” ที่มีวางขายที่ร้าน หรือจะซื้อแบบสำเร็จรูปมาชงเองก็ได้ ราคาประมาณ $17 จาก Amazon.com

 

Golden Opulence Sundae

เมื่อปี 2004 มีการฉลองครบรอบ 50 ปีของร้าน ซึ่งทางร้านก็เสนอเมนูซันเดย์สุดหรูที่เรียกว่า โกลเด้นออปปูเลนซ์ “Golden Opulence Sundae” ซึ่งถูกบันทึกลงใน Guinness Book of World Records ว่าเป็นของหวานที่แพงที่สุดเพราะมันขายถ้วยละ $1000 (ประมาณ 33,000 บาท) มันคือไอศกรีมวานิลาที่ใช้เม็ดวานิลลาจากเกาะตาฮิติ และแต่งกลิ่นด้วยวานิลลาจากมาดากาสก้า ประดับด้วยใบไม้ทำจากทองคำแผ่นบริสุทธิจริง 23K ที่ทานได้, ราดด้วยช็อกโกแลตซันเดย์ที่ทำจาก Dark Choc ที่ดีที่สุด และแพงที่สุดในโลก จากทัสคานี อิตาลียี่ห้อ Amedei Porcelana,

new-york-sweet-break-10

new-york-sweet-break-5

โรยด้วย Chuao chocolate ช็อกโกแลตที่ทำจากโกโก้ที่ดีที่สุดจากทะเล Caribbean ชายฝั่ง Venezuela ที่จานรองมีลูกกวาดผลไม้จาก Paris มาแบบเคลือบทอง (gold dragées, truffles) และ เชอรี่แห้งเคลือบน้ำตาลแบบตะวันออกกลาง (Marzipan Cherries) ในถ้วยเล็กๆที่วางอยู่บนแผ่นทองจะมีขนมคาเวียร์ พิเศษ (exclusive dessert caviar) ที่ทำจากไข่ปลาคาเวียร์สีทองแบบอเมริกัน (American Golden Caviar)ที่แต่งกลิ่นรสด้วยส้มและบรั่นดีแอปเปิ้ล (Armagnac). ไอศกรีมจะเสิร์ฟในถ้วยแก้วคริสตัลสุดหรูยี่ห้อ Baccarat ทำจาก Harcourt Crystal จากประเทศฝรั่งเศส แล้วใช้ตักด้วยช้อนไอศกรีมทำจากทอง 18K ด้ามไข่มุกโรยด้วยน้ำตาลดอกไม้จาก Ron Ben ประเทศอิสราเอล

 

ไหนๆ จะคุยเรื่องสถิติของร้านนี้แม้ว่าอาจไม่เกี่ยวกับของหวานก็ขอเล่าอีกสถิติหนึ่งด้วย

Le Burger Extravagant

ในปี 2013 ร้าน Seredipity3 ยังได้อีกสถิติหนึ่งจากการนำเสนอ (ในช่วงเวลาสั้นๆ) Le Burger Extravagant แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกขายในราคา $295.00 (£186.52) ประมาณ 10,000 บาท

new-york-sweet-break-3

ส่วนประกอบก็มีดังนี้  เนื้อก้อน (Patty) ทำจากเนื้อวากิวจากญี่ปุ่นที่ผสมแต่งกลิ่นรสด้วยเห็ด ทรัฟเฟิลสีขาวจากเมือง Alba อิตาลี แล้วก็โปะด้วยเนยแข็งเชดด้าของ James Montgomery Cheddar ตามด้วยเห็ดทรัฟเฟิลดำสไลด์ ก่อนโปะด้วยไข่นกกระทาทอด (Black Truffles and A Fried Quail Egg) และยังมีการโรยด้วยผงทองคำบริสุทธิ์ (ทานได้) บนขนมปัง Campagna Roll ที่ใช้ประกบซึ่งก่อนอื่นต้องทาด้วยเนยสดทรัฟเฟิลขาว White Truffle Butter ส่วนบนสุดเป็นครีมสดแบบฝรั่งเศสกับไข่ปลาคาเวียร์ และแผ่นบลีนี่ที่ใช้ทานกับคาเวียร์จากรัสเซีย (Blini, Creme Fraiche,Caviar)

**หมายเหตุ: สถิติทั้ง 2 รายการได้ถูกบันทึกไว้ใน Guinness World Records ใน เดือนพฤศจิกายน 2007 และ พฤษภาคม 2012 ตามลำดับ

 

ของหวานแบบ To Go

ในขณะที่ไหนๆ ก็อยู่แถวถนน 3 สำหรับของหวานแบบลูกกวาดซื้อกลับไปฝากที่ออฟฟิศ เราก็ควรต้องให้มันมีความพิเศษหน่อยไม่ใช่หยิบแต่ยี่ห้อซ้ำๆ ไม่ว่าไปเมืองไหนก็ยี่ห้อเดิม ผมแนะนำร้านข้างล่างนี้ รับรองว่าไม่ซ้ำ และสำหรับคนพิเศษ ที่นี่สามารถทำของฝากที่พิมพ์กระดาษห่อหรือแม้แต่ปั๊มที่ตัวขนมหรือช็อกโกแลตเป็นชื่อผู้รับได้อีกต่างหาก

new-york-sweet-break-2
Dylan’s Candy Bar
1011 Third Ave., 646-735-0078 

 

สุดท้ายก่อนจบเรื่องของหวานในนิวยอร์ก จริงๆ แล้วมันจบไม่ได้เด็ดขาดถ้าจะไม่พูดถึงของหวานประจำเมืองที่มีความพิเศษไม่เหมือนที่อื่น ใช่แล้วครับมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้

New York Cheesecake

new-york-sweet-break-6

จริงๆแล้ว Cheesecake ถูกทำขึ้นโดยชาวกรีซ เมื่อ 2,400 กว่าปีก่อน โดยเริ่มต้นเลยชาวกรีซชอบเอา Feta Cheese มานวดผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำไปอบด้วยฟืน และแล้วอีก 300 กว่าปีต่อมา พวกโรมันก็มันมาดัดแปลงโดยมีการผสมแป้งเข้าไปด้วย และถูกเรียกว่า “Placenta” แล้วมันก็แผ่หลายไปในยุโรปตามยุคสมัย แต่ว่ากันว่ามันมาถึงนิวยอร์กโดยผู้อพยพชาวเยอรมันเชื้อสายยิวช่วงปี1800 และประกอบกับในปี1872 ได้มีการค้นพบ Cream Cheese ขึ้นมาโดบังเอิญโดยชาวนาจากเมือง Chester พยายามที่จะทำเนยแข็ง Neufchatel แบบฝรั่งเศสแต่ผิดพลาดเลยออกมาเป็นครีมไม่เหมือนชีส อย่างไรก็ตามนาย. James Kraft, ผู้ก่อตั้งบริษัท Kraft Foodsได้นำไอเดียนี้ไปดัดแปลงทำเป็นสินค้าในปี 1912 โดยห่อด้วย Foil ปกติแล้วชีสแบบอื่นพอมีการบ่มเก็บไว้ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงในรสชาติและกลิ่นที่ทำให้นุ่มนวลหรือบ้างก็หนักแน่นและฉุนขึ้นเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักกินชีส แต่ครีมชีสจะไม่มีคุณสมบัตินั้นยกเว้นว่าเรานำมันไปทำ Cheese Cake มันกลับมีคุณสมบัติดังกล่าว ดังนั้นการทานชีสเค้กที่เก็บห่อไว้วันสองวันในตู้เย็นจะได้รสชาติที่ดีกว่า Cheese Cake ทำใหม่ๆ สดๆ ซะอีก เรามารู้จักร้านที่ขายสุดยอดชีสเค็กของ NYC กันดีกว่า

ร้าน Junior’s เปิดมาตั้งแต่ปี 1950, อยู่ใน Downtown Brooklyn นักกินชีสเค็กทั้งหลายในNYC ให้ตำแหน่งเป็นร้านที่เสิร์ฟ Best Cheesecake เนื้อแน่นแต่ส่วนชีสเริ่มออกรสเปรี้ยว คือทุกชิ้นก่อนเสิร์ฟจะมีการบ่มก่อนถึง 48 ชั่วโมงจึงนำไปขายจึงมีกลิ่นรสที่ฉุนคมเข้ม ร้านดั่งเดิมกำลังต้องปิดย้ายไปที่ใหม่เพราะมีคอนโดมาไล่ที่ต้องรีบไปทานก่อนอยู่ที่ 386 Flatbush Avenue, Brooklyn, 718-852-5257

 

new-york-sweet-break-8

S & S CHEESECAKE นี่คือ Old-School Kosher Bakeryคือทำตามกฎระเบียบของ Judaism ศาสนาของชาวยิวที่ต้องทานอาหาร Kosher เท่านั้น  ที่นี่อยู่ในย่าน Bronx มีแค่หน้าร้านให้สั่งซื้อ ไม่มีที่นั่ง ต้องซื้อกลับบ้านแบบ Full Cakes เท่านั้น มันเป็น Best All-Cream-Cheese-Cake ที่นุ่มและเข้ม ขนาดที่ร้านสเต็กชื่อดังของนิวยอร์กอย่าง Peter Luger ขอรับไปขาย S & S Cheesecake อยู่ที่ 222 West 238th Street between Broadway and Putnam Avenue West in Kingsbridge, the Bronx (718-549-3888, sscheesecake.com)

 

new-york-sweet-break-13

Eileen’s Special Cheesecake ร้าน Eileen’s cheesecake จะมีรสอ่อนและครีมมี่ในขณะที่จะหยาบในส่วนที่นอนก้น เพราะจะเจอ Graham Crackersบด เปิดมา 50 ปีแล้วเช่นกัน และเนื่องจาก Eileen มีเชื้อสายอิตาเลี่ยนเยอรมัน ส่วนผสมจึงยังมีความเป็นยุโรปอยู่เพราะใช้เนย Ricotta ผสมลงไปใน Cream Cheeseด้วย ที่อยู่ก็ 17 Cleveland Place, 212-219-9558

 

new-york-sweet-break-11

TWO LITTLE RED HENS ของร้าน Two Little Red Hens มีการลง Instagram บ่อยๆ เรื่อง Cupcakes ของที่ร้าน แต่ที่มันโดดเด่นที่สุดในร้านคือสุดยอด New York Cheesecake. ที่มีส่วนบนเป็นสีน้ำตาลสวยในขณะที่ส่วนกรุบกรอบที่ทำ Graham Cracker บด ก็กำลังดีไม่มากน้อยเกินไป ตัวเนื้อเค้กนุ่มนวลแบบที่เรียกว่า “Silky Perfection” between sweet and sour ร้านอยู่ที่ 1652 Second Avenue between 85th and 86th Street ย่าน Upper East Side (212-452-0476, twolittleredhens.com)

 

new-york-sweet-break-4

Lindy’s ร้านนี้ถือเป็น Broadway Deli, เคยเป็นร้านโปรดของดาราและผู้ไปชมละครบรอด์เวย์และมาแวะทาน แม้ว่าระยะหลังอาหารในร้านเมนูเริ่มสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่ Cheesecake ยังคงตำแหน่ง One of The City’s Best เพราะ Cheesecake ที่นี่มีสไลซ์ที่หนานุ่ม สีอ่อนซีด Paleแบบที่นิวยอร์กชีสเค้กควรจะเป็นทุกอย่าง รวมทั้งรสชาติ อยู่ที่ 825 7th Ave, 212-767-8344

 

ช้อปปิ้งก็แล้ว ทานของหวานจิบชายามบ่ายแล้ว เจอกันอีกทีก็มื้อเย็นเลยแล้วกันครับ

 

City Break: New York City, Part VII

“…หลังจากที่ผมพาท่านไปเที่ยวและรู้จักกับของกินในนิวยอร์ก ตั้งแต่มื้อเช้าไปจนถึงมื้อบ่าย ก่อนจะไปคุยเรื่องมื้อเย็นและของหวาน เราน่าจะหยุดไปเดินเที่ยวช้อปปิ้งกัน เพราะไหนๆ ก็มาถึงสวรรค์ของนักช้อปกันแล้ว….”

 

เบรก-ช้อปปิ้ง

ถ้าพูดเรื่อง Shopping ในนิวยอร์กก็คงต้องพูดถึงย่าน Upper East Side (UES) ซึ่งเป็นแหล่ง Hang out ของ Serena van der Woodsen, Blair Waldorf ตัวละครเอกจาก Gossip Girls ซีรี่ส์ดังเกี่ยวกับวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตหรูหราอยู่ใน UES รวมถึงตัวละครที่ชื่อ Carrie Bradshaw นักเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับเรื่องเพศในซีรี่ส์ Sex and the city

 

ประเภท Designer Flagship Stores

new-york-break-shopping-2

Upper East Side ถือเป็นย่านที่หรูหราที่สุดของ Manhattan อยู่แถบ Central Park บริเวณถนน FifthMadisonParkLexingtonThirdSecondFirstYork, และ East End Avenues,  เป็นย่านที่รวมไว้ซึ่ง Designer Flagship Stores ร้านเรือธงของบรรดาแบรนด์ดังของโลกซึ่งต้องหาโอกาสมาอยู่ที่นี่ให้ได้ เหมือนกับร้านเหล่านี้ที่มาปักหลักแล้ว เช่น Kate Spade, Alexander McQueen, Tom FordHermès, Céline ถ้าชอบรองเท้าก็ Stuart Weitzman หรือชอบแบบพื้นแดงก็ต้อง Christian Louboutin

new-york-break-shopping-3

 

สำหรับการช้อปปิ้งที่นี่ก็มีหลายรูปแบบแล้วแต่สไตล์ และความถนัดหรือความประหยัดซึ่งแต่ละคนมีความชอบแตกต่างกันไป ผมเลยขอแนะนำแบบหลายประเภทหน่อย

 

ประเภทห้างสรรพสินค้า

สำหรับผู้ที่ชอบห้างสรรพสินค้า ผมว่าอยู่แถวนี้ทั้งวันก็ได้เลย ห้างระดับ Grand Bazaar แถบนี้ เริ่มจาก Upper East Side ต่อเนื่องไปถึงแถบ Midtown และย่าน SoHo ที่ต้องไปก็มี

– ห้าง Barneys New York เป็นห้างที่รวมแบรนด์เนมมีระดับไว้ด้วยกันในหลังคาเดียว เป็นอะไรที่หากมีเวลาจำกัดในการช้อปก็เข้าที่นี่ห้างเดียวเลย Barneys

ห้าง Barneys New York  cr.pic.from:wikimedia     

 

new-york-break-shopping-5

new-york-break-shopping-6

ห้าง Macy’s cr.pic.from:wikimedia          

– ห้าง Macy’s ที่ Herald Square ถนน 34th Street ย่าน Midtown West ที่ถือว่าเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาตั้งแต่มันเปิดในปี 1907 มันมีทุกอย่างที่ท่านต้องการอยู่ในพื้นที่ทั้งหมด 1.1ล้านตารางฟุต มีทั้งหมด 9 ชั้น มีโรงเรียน De Gustibus เป็น cooking school อยู่ที่นี่ด้วย และที่นี่หากท่านมาในช่วงวัน Thanksgiving จะได้ดู  Macy’s Thanksgiving Day Parade ที่เป็นขบวนพาเหรดประเพณีของชาวนิวยอร์กไปแล้ว มีมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1924

– ห้าง Bloomingdale’s ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี 1886 สมัยที่บันไดเลื่อนยังเป็นซี่ไม้แท้ อยู่จุดตัดถนน59th และ Lexington Ave. แต่ตอนนี้เป็นห้างในเครือ Macy’s Inc.ไปแล้ว

-ห้าง Lord & Taylor ซึ่งจะเน้นหนักไปทางแบรนด์ของนิวยอร์กเป็นหลักอย่าง BCBG Max Azria, Marc by Marc Jacobs, Milly, Nanette Lepore และ Kate Spade

 

new-york-break-shopping-7

– ห้าง Saks Fifth Avenue ย่าน Midtown East ซึ่งมี Louis Vuitton และ Chanel เป็นแบรนด์หลัก

 

ประเภทหรูได้แบบไม่แพง

ที่น่าสนใจก็คือในนิวยอร์กก็มีที่สำหรับท่านที่ชอบแบบ Value for Money ประเภทหรูได้แบบไม่แพง ซึ่งผมว่าเป็นทางเลือกที่ดีในยุคสมัยใหม่นี้ที่อะไรมันมักจะแพงเกินเหตุ ทำให้บรรดา High Street Brand แบบ ZARA, Uniqlo, H&M ที่มีดีไซน์แต่ราคาไม่แพงมาแบ่งแชร์ในตลาดบนไปเยอะมาก แต่ก็มีบรรดาแฟนพันธุ์แท้ที่แบบว่ามีแต่ Design อย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้อง Brand ด้วย และได้ลดแบบสุดๆ ยิ่งดี ก็เลยทำให้เกิดธุรกิจพวก Outlet Shopping ที่บรรดายี่ห้อดังมีที่ระบายสินค้าทั้งตกรุ่นและไม่ตกรุ่น โดยไม่ต้องเสียฟอร์มลดราคาใน Flagship Store ของตัวเอง แต่ในนิวยอร์กไม่มีพื้นที่สร้าง Outlet ใหญ่แบบนั้นนอกจากต้องข้ามไป New Jersey, Connecticut หรือ Upstate New York

Uptown Shopping Outlet

new-york-break-shopping-1

ที่ไกล้และดีที่สุดจะเป็น Woodbury Common Premium Outlets มีรถออกจาก Port Authority ไป ประมาณ 46 ไมล์ มี Prada, Gucci และใกล้ๆ ยังมี North Face Outlet ใหญ่ด้วย

 

Downtown Outlet

จริงๆ แล้วมันก็ไม่เชิงเป็น Outlet แต่มันเป็นร้านประเภท Discount Brand Name มากกว่าซึ่งเป็นที่รู้จักกันมานานก่อนที่จะมีการสร้าง Outlet Shopping นอกเมืองเสียอีก

Century 21 ชื่อเหมือนบริษัทนายหน้าอสังหาฯ แต่ขายเสื้อผ้าแฟชั่นมีแบรนด์ อยู่Lower Manhattan ย่าน Wall Street เปิดมากว่า 50 ปีแล้วเป็นที่โปรดปรานของบรรดาคนที่ทำงานใน Financial District ซึ่งมักใช้เวลาช่วงหลังอาหารกลางวันหรือหลังเลิกงานมาแวะเลือกซื้อเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าที่นี่ เพราะอย่าลืมว่าคนทำงานย่านนี้ต้องแต่งเนี้ยบและที่นี่ของมียี่ห้อทั้งนั้นแต่ลดเยอะมาก แถมยังมีของแต่งบ้านอีกด้วย มีสาขาในBrooklyn ด้วย
new-york-break-shopping-8

Century 21 

 

Nordstrom Rack 

ร้านนี้ถือเป็นเจ้าเก่าที่เป็นร้านประเภท Discount Brand Name มานมนานแล้ว เป็นที่ระบายสินค้าของห้าง Nordstrom คือสินค้ามีแบรนด์ตัวไหนมี Shelf Life ยาวเกินไปแล้ว เขาก็จะเอามาลง Rack แต่จะเน้นยี่ห้ออเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ร้านใน NYC อยู่ที่ Union Square ตรง Virgin Megastore

 

แบรนด์เนมมือสอง

ที่นิวยอร์กเรียกว่า Consignment Shop หรือ Resale Stores ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่คือจุดเริ่มต้น เพราะคนที่ช้อปเก่งๆ เมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่งก็มักต้องการที่จะเคลียตู้เพราะไม่มีที่เก็บแล้ว และรุ่นเก่าก็เริ่มเอ้าท์ ธุรกิจนี้จึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมืองจาก NYC, Tokyo มีการบริโภคของแบรนดเนมเยอะก็ต้องมีการเอาทยอยออกมาปล่อยเยอะ มีแบบฝากขายคือ Consignment แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้คนขายไป หรือต้องการใช้เงินด่วน ร้านพวกนี้ก็จะมีราคาเสนอซื้อ แล้วไปทำเป็นของ Resales หรือTrade คือเอาของตัวเองมาแรกของในร้านก็เลือกเอาครับ จะขอยกตัวอย่างร้านประเภทนี้ให้ครับ

 

new-york-break-shopping-9

Michael’s Consignment  เปิดมาตั้งแต่ปี 1954 อยู่ใน Upper East Side รับวางขายแต่ของดีที่สุด แบรนด์ระดับtopสุดเท่านั้น ส่วนใหญ่กระเป๋าจะมีอายุไม่เกิน 2 ปี ยกเว้น Chanel, Hermès, หรือ Gucci กฎก็คือเรามาวางขายที่นี่ ร้านจะได้แบ่ง 50%จากราคาขาย แต่ถ้าของคุณวางเกิน 30 วัน ราคาขายจะลดลง 20% และถ้า 90 วันแล้วราคาขายจะลดลงไปอยู่ที่ 50%ของที่วางขายวันแรก คือคุณจะไปเอาของออกก็ได้หากไม่อยากลดราคาตามกฎร้าน คือร้านจะถือว่าของวางนาน Shelf Life นาน ขายยาก เขาไม่อยากให้เกะกะเอาใบอื่นมาวางแทนดีกว่า

 

Beacon’s Closet ที่นี่เป็นร้านมือสองที่ขึ้นชื่อทั้งผู้ขายผู้ซื้อโดยเฉพาะเครื่องแต่งกายเครื่องประดับเนื่องจากเจ้าของเป็นStylish รู้จักรับซื้อของและรู้จัก Mix and Match ทำให้ Beacon’s Closet มักจะซื้อของที่มาจากร้าน ตั้งแต่ Topshop จนถึง Thakoon, และชั้นวางมักมีการอัพเดทบ่อยๆ ตามซีซั่น คนเอาของมาขายร้านนี้ได้ต้องเป็นของที่ inจริงๆ ไม่งั้นเขาไม่รับซื้อ แต่ถ้าของใช่คุณจะได้ราคาลด 35%จากราคาป้ายที่ตอนซื้อมาหรือจะเลือกเอาเป็น Store Credit ไว้แลกซื้อของอื่นๆในร้านก็จะได้เป็นมูลค่าถึง 55% ร้านอยู่แถว Sixth Avenue; 135 North 7th Street near Bedford Avenue และยังมี locations อื่นใน Williamsburg, Park Slope และUnion Square

 

new-york-break-shopping-11

Eleven ร้านนี้มีการตกแต่งหน้าร้านแบบที่ว่าเห็นก็รู้เลยว่าคุณน่าจะหากระเป๋า Chanel หรือรองเท้าแตะจาก Prada ได้พร้อมกับมีแบรนด์ดังต่างๆให้เลือกอีกมาก ใครเอาของมาขายก็จะเลือกได้ว่าจะเอาเงินสดเลยจะได้ 10%ของมูลค่าราคาของที่ซื้อมา หรือฝากขายก็ได้50%ของราคาที่ Eleven ขายได้ ร้านอยู่ที่เลขที่ 180 First Avenue

 

new-york-break-shopping-12

Fisch for the Hip ร้านนี้เป็นร้านโปรดของ New York’s Celebrity ที่อาจนำของที่เลิกใช้แล้วมาขาย อาจไม่ต้องมาเองเพราะทางร้านจะไปรับถึงที่ ก็เลยทำให้ร้าน Fisch for the Hip ขายได้ในราคาสูงเพราะมักมี source ที่เป็นของดีๆอย่าง Chanel jackets หรือ Gucci bags แบบไม่ค่อยตกรุ่นซะด้วย เพราะมักจะรับฝากขายแต่ของที่อยู่ในซีซั่น คนฝากขายก็ได้50%ของราคาที่ทางร้านขายได้ ร้านอยู่ที่ 90 Seventh Avenue.

 

new-york-break-shopping-13

Encore สุดท้ายก็คือร้านที่ดีที่สุดแบบ Save the Best for Last เลย เพราะร้าน Encore ได้ฉายาว่าเป็น New York’s Most Iconic Consignment Shop เปิดมาตั้งแต่ปี 1954 มีลูกค้าเป็นCelebระดับ Jackie O ดังนั้นของที่นี่ก็เป็นของเก่าจากคนดังระดับ Celebของที่นี่ ให้ลองไปที่ร้านบนถนน Madison Avenue ที่มีแต่ของระดับ High-end Designers เช่น Chanel, Prada, Hermès, หรือ Oscar de la Renta, แถมยังไม่ขายของที่เก่ากว่า 2 ปีอีกต่างหาก ใครนำของมาขายทางร้านจะทำสัญญากับคนขาย 3 เดือนโดยจะให้ 50%ของราคาที่ขายได้ แต่หากของราคาเกิน $400 หากขายไม่ได้ เดือนต่อไปราคาจะต้องถูกปรับลง 20%  ไปลองดูครับร้านอยู่ที่ 1132 Madison Avenue.

 

เจอกันคราวหน้า เราไปหาของหวานทานกับน้ำชายามบ่ายที่ร้านขึ้นชื่อของเมืองนี้กันครับ