เปิดตัว Ginza Lifestyle Community Thonglor จุดนัดพบแห่งความบันเทิงสไตล์ถนนกินซ่า ณ ใจกลางทองหล่อ

คุณพิพัฒน์ เอี่ยมชีรางกูร กรรมการฝ่ายบริหาร และ คุณนที เอี่ยมชีรางกูร ผู้จัดการทั่วไป กินซ่าทองหล่อ ร่วมด้วยแขกผู้มีเกียรติ อาทิ ม.ล.กัลยกร เกษมศรี, คุณปัทมวดี เสนาณรงค์, คุณพลอย อภัยวงศ์ ฯ เปิดตัว Ginza Lifestyle Community Thonglor แหล่งฮิปแห่งใหม่ที่รวบรวมร้านอาหารชื่อดังหลากหลาย อาทิ Hamaoka, Kin Shabu Sukiyaki, SABU Yakiniku, Steak House Hiro, Wine&Kushikatsu Ishimoto, Tokyo Yakiniku Shoutaian, Unakichi และร้านอาหารไทยหนึ่งเดียว Aimm Thai Cuisine ร้านขนมระดับพรีเมี่ยม Chez Shibata 365 รวมไปถึงวิสกี้บาร์ที่มีชื่อเสียงจากญี่ปุ่น HIDE Produced by Ginza Yamazaki แน่นอนว่าที่นี่ยังหมาะสำหรับใครที่ต้องการผ่อนคลายกับสปาคุณภาพซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเมืองไทย Let’s relax หากอยากช้อปปิ้งก็ยังมีร้านกิ๊ฟช็อป Mori Souvenir และร้านตัดสูท Fiorenzo Tailor กับคอนเซ็ปต์ “เราไม่ได้ตัดเสื้อผ้า แต่เราคัดสรรเอาตัวตนของผู้ใส่ลงไปในชุดด้วย” หรือหากต้องการเดินทางท่องเที่ยวก็มี Tour Lab สำหรับคนที่มองหาแพ็คเกจท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศไว้คอยบริการอีกด้วย ด้านความบันเทิงก็มีให้ไม่แพ้กันกับโชว์มินิคาบาเรต์ Dang2 คาบาเร่ต์โชว์ที่มีอายุยาวนานกว่า 30 ปีจากเมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น

GinzaThonglor_OpeningPic.01

(จากซ้ายไปขวา) สาวิตต์ ตันติศิลปานนท์, พลอย อภัยวงศ์, พิพัฒน์ เอี่ยมชีรางกูร, นที เอี่ยมชีรางกูร, ปัทมวดี เสนาณรงค์, ม.ล.กัลยกร เกษมศรีและอภิวิชญ์ คุณาดิเรก

Sawit Tantisilapanon, Ploy Apaiwongs, Pipat Eamsherangkoon, Natee Eamsherangkoon, Patmavadee Senanarong, M.L.Kalyakorn Kasemsri and Apiwit Kunadireck

GinzaThonglor_OpeningPic.08

พิพัฒน์ เอี่ยมชีรางกูร กรรมการฝ่ายบริหาร และ นที เอี่ยมชีรางกูร ผู้จัดการทั่วไป กินซ่าทองหล่อ (Pipat Eamsherangkoon, Director & Natee Eamsherangkoon, General Manager of Ginza Thonglor)

GinzaThonglor_OpeningPic.10

GinzaThonglor_OpeningPic.02

ม.ล.กัลยกร เกษมศรี (M.L.Kalyakorn Kasemsri)

GinzaThonglor_OpeningPic.03

ปัทมวดี เสนาณรงค์ (Patmavadee Senanarong)

GinzaThonglor_OpeningPic.04

ชนิสรา วาจาสิทธิ์ และ พลอย อภัยวงศ์ (Chanichara Vajasit & Ploy Apaiwongs)

GinzaThonglor_OpeningPic.05

วรภพ คล้ายสังข์ และ อภิวิชญ์ คุณาดิเรก (Woraphop Klaisang & Apiwit Kunadireck)

GinzaThonglor_OpeningPic.06

สาวิตต์ ตันติศิลปานนท์ (Sawit Tantisilapanon)

GinzaThonglor_OpeningPic.07

ปนัสพร นพศรี (Panasporn Nopasri)

GinzaThonglor_OpeningPic.13

GinzaThonglor_OpeningPic.15

GinzaThonglor_OpeningPic.14

GinzaThonglor_OpeningPic.19

GinzaThonglor_OpeningPic.20

GinzaThonglor_OpeningPic.21

GinzaThonglor_OpeningPic.25

GinzaThonglor_OpeningPic.26

GinzaThonglor_OpeningPic.27

GinzaThonglor_OpeningPic.28

GinzaThonglor_OpeningPic.29

GinzaThonglor_OpeningPic.30

GinzaThonglor_OpeningPic.31

GinzaThonglor_OpeningPic.32

GinzaThonglor_OpeningPic.33

GinzaThonglor_OpeningPic.16

GinzaThonglor_OpeningPic.17

GinzaThonglor_OpeningPic.18

GinzaThonglor_OpeningPic.22

GinzaThonglor_OpeningPic.23

GinzaThonglor_OpeningPic.24

 

Ginza Lifestyle Community Thonglor ศูนย์รวมแห่งความบันเทิงและพักผ่อนหย่อนใจในสไตล์ถนนกินซ่าอย่างแท้จริง พร้อมเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 24.00 น. ณ บริเวณชั้น 2-3 Hotel Nikko Bangkok ซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS (สถานีทองหล่อ) หรือถ้าขับรถมาเองก็มีที่จอดรถที่รองรับได้มากถึง 350 คัน

เค้กช็อกโกแลต ไร้แป้ง กับลูกพรุนและวิสกี้

เค้กนี้อร่อยมาก จนลูกสาวสั่งห้ามทำอีก!

Le Creuset and Flourless Chocolate Cake with Prune and Whisky 2

สูตรนี้ได้มาจาก The Violet Bakery Cookbook ซึ่งเชฟ Claire Ptak นี้เป็นคนที่ได้รับเลือกให้ทำเค้กแต่งงานให้กับ Prince Harry และ Meghan Markle เมื่อไม่นานมานี้
สูตรทุกสูตรในหนังสือเล่มนี้ทำออกมาแล้วดี สมกับที่เป็นเชฟขนมดังเป็นลำดับต้นๆ แต่ทุกครั้งที่ทำขนมตามสูตรของเธอก็ทำในพิมพ์ธรรมดา มาวันนี้นึกอยากทดลองว่า ถ้าทำในหม้อเหล็กหล่อ Le Creuset แล้วจะเป็นยังไง เพราะเท่าที่รู้จักคุณสมบัติของเครื่องครัวชนิดนี้ คือให้ความร้อนกระจายสม่ำเสมอ และร้อนนาน คิดๆแล้วก็คล้ายๆกับ Convection Oven ที่เชฟมืออาชีพทั้งหลายชอบใช้กัน ลองทำสูตรเดียวกัน เปรียบเทียบกับใช้พิมพ์ธรรมดา ปรากฏว่า ขนมที่ใช้หม้อ HEART COCOTTE นี้ ให้เนื้อสัมผัสที่ดีกว่า จนเราเองก็แปลกใจ เนื้อขนมนุ่มนวล moist และเก็บความหอมของเหล้า ของส่วนผสมได้ดีจริงๆ

Le Creuset and Flourless Chocolate Cake with Prune and Whisky 1

มาลองทำกันดูค่ะ

สำหรับ 1 สูตร ใช้หม้อ Le Creuset HEART COCOTTE 20CM ถ้าใช้หม้อ HEART COCOTTE 16 CM แบบในรูปใช้เพียง ½ สูตรสำหรับพอทานได้ 6-8 คน

ทาเนยด้านในหม้อบางๆ ตัดกระดาษเป็นรูปหัวใจรองไว้ที่ก้นหม้อ และอีกสองแผ่นเป็นแผ่นยาวๆ กรุไว้ด้านในเพื่อให้ยกเค้กขึ้นมาได้

วัตถุดิบ
125 g ลูกพรุนชนิดไม่มีเม็ด
40 g วิสกี้ ชนิดใดก็ได้
240 g ช็อกโกแลต 70% (มีขายตามร้านBakery Supply) ในสูตรนี้ใช้ของยี่ห้อ Cacao Barry
200 g เนยจืด
5 ฟองไข่ แยกเป็นไข่ขาว ไข่แดง
100 g น้ำตาล แบ่งเป็น ½ กับ ½
¼ tsp เกลือทะเล
150 g ผงอัลมอนด์

วิธีทำ
แช่ลูกพรุนไว้ในเหล้าวิสกี้ล่วงหน้า อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ยิ่งถ้าแช่ไว้ข้ามคืน (ปิดฝา อยู่ในตู้เย็น) ยิ่งดี

ก่อนนำมาใช้ หนึ่งเม็ด ให้ผ่าสี่ แล้วผ่าอีกทีเป็นแปดชิ้นเล็กๆ

อุ่นเตาไว้ที่ 175 องศา โปรแกรมที่มีพัดลมช่วย(160 C -Convection Oven)
เริ่มด้วยการตุ๋นช็อกโกแลต โดยตั้งหม้อใส่น้ำเพียงเล็กน้อย ตั้งไฟจนเริ่มเป็นไอน้ำ ลดเป็นไฟอ่อน แล้ววางชามทนไฟที่มีขนาดเท่ากับปากหม้อพอดี ลงบนปากหม้อ ไม่ให้ก้นชามโดนน้ำ วิธีนี้เรียกในหมู่คนทำขนมว่า Bain-Marie ใส่ช็อกโกแลตและเนยจืดลงไปในชาม คนเป็นครั้งคราว ให้ช็อกโกแลตกับเนยละลายเข้ากันดีปิดไฟ ยกออกจากเตา เช็ดก้นชาม ระวังอย่าให้ส่วนผสมโดนน้ำ ช็อกโกแลตกับน้ำไม่ถูกกัน

ตีไข่แดงกับน้ำตาลครึ่งหนึ่งจนขึ้นขาวฟู ใส่ลงในส่วนผสมช็อกโกแลตที่เย็นแล้ว ตามด้วย ลูกพรุน และผงอัลมอนด์พักไว้

จากนั้นตีไข่ขาวกับน้ำตาลอีกครึ่งที่เหลือและเกลือที่เตรียมไว้ จนขึ้นยอดอ่อน

ตักไข่ขาวทีละ ¼ ลงไปผสมกับ ส่วนผสมช็อกโกแลต อย่างเบามือ (fold)

เทลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ นำเข้าเตาอบ ใช้เวลา 25 นาที (หมุนกลับด้านของเค้กเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งหนึ่ง) โดยให้ใช้ไม้แหลมๆ หรือที่เช็คเค้ก ลองจิ้มดูส่วนที่หนาที่สุดของเค้กก่อนเวลาที่ตั้งไว้สัก 5-10 นาที เพราะความร้อนของเตาอบแต่ละบ้านไม่เท่ากัน ถ้าหากไม้หรือก้านที่เสียบลงไป เวลาที่ดึงออกมาแล้ว ไม่มีเศษเค้กติดมา แสดงว่าสุกดีแล้ว

 

ส่วนตัวเวลาอบเค้กช็อกโกแลต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเค้กที่ไม่มีแป้งนี้ (ไม่ต้องกลัวว่าแป้งจะไม่สุก) มักจะเอาออกก่อนเวลาตามสูตรสัก 5 นาที เพราะชอบให้ตรงกลางยังแฉะๆอยู่ ลองปรับเวลาทำดูกับเตาที่บ้านของคุณค่ะ จะสุกมากสุกน้อย รสชาติเค้กอันนี้ดีแน่ๆ ทานแล้วหยุดไม่ได้จริงๆค่ะ

 

สอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์เครื่องครัว เลอ ครูเซได้ที่
Facebook:https://Facebook.com/LeCreusetThailand

Instagram: https://www.instagram.com/lecreuset_thailand

Line: Le Creuset Thailand

Tel No.: +669 3131 8876

 

Le Creuset LOGO

ดูเทรนด์สุขภาพเมื่อไร้ไขมันทรานส์

ช่วงนี้ไม่มีประเด็นสุขภาพไหนจะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางเท่าเรื่องการประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์ในอาหาร ที่กระทรวงสาธารณสุขจะให้มีผลใช้บังคับในอีก 180 วันหลังจากวันประกาศนี้ คำถามก็คือ แล้วไลฟ์สไตล์การบริโภคของเราจะต้องปรับตัวไปทางไหน และมีอะไรจะเข้ามาทดแทนสิ่งนี้และมีผลอย่างไรกับพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบันและอนาคต มาคุยเรื่องนี้กันค่ะ

Health Trans Fatty 1

“ไขมันทรานส์” มาจากไหน
ไขมันทรานส์ เป็นไขมันเกิดจากการเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงไปในไขมันไม่อิ่มตัวจากพืช กระบวนการนี้เรียกว่า partially hydrogenation จริงๆมันเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1890 โดย พอล ซาบาทีเย(Paul Sabatier)นักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ค้นพบวิธีการนี้ แต่เขาใช้มันในการทดลองทางเคมีเท่านั้น จนเมื่อปี 1901 วิลเฮล์ม นอร์แมนน (Wilhelm Normann)นักเคมีชาวเยอรมัน ได้นำวิธีการนี้มาใช้กับวงการอาหารโดยเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงในน้ำมันและทำได้สำเร็จในปี 1902 ต่อมาในปี 1905 – 1910 มันก็ได้รับความนิยมมากขึ้นๆ โดยมียอดขายถึง 3,000 ตันในอังกฤษเมื่อปี 1909

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาได้มีการนำเข้าถั่วเหลืองเข้ามาในประเทศ น้ำมันถั่วเหลืองก็ถือกำเนิดขึ้นอันเป็นผลผลิตจากการนำเข้านี้ ได้มีการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อให้กลายสภาพเป็นไขมันใช้ในการทำเบเกอรี่และพบว่าไขมันนี้ให้คุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าเนยสดนั่นคือสามารถเก็บนอกตู้เย็นได้โดยไม่ละลาย และเกลี่ยได้ดีทันทีบนขนมปัง ทั้งทำให้อาหารกรอบอร่อยเก็บได้นานและรสชาติดี ต้นทุนการผลิตก็ต่ำกว่าไขมันทรานส์จากถั่วเหลืองนี้จึงเริ่มถูกใช้ในการทำขนมปัง เค้กและคุกกี้อย่างแพร่หลายมีการนำน้ำมันพืชชนิดต่างๆมาเติมไฮโดรเจนเพื่อใช้ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งในช่วงแรกมีการระบุว่าปลอดภัยกว่าเนยซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว

นอกจากนี้ กระแสสุขภาพที่พูดถึงการบริโภคไขมันอิ่มตัวหรือ SFA ( saturated fat) ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก็ทำให้เกิดความพยายามจะหาสิ่งทดแทนเนยสดซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวแต่ปัญหาก็คือไขมันไม่อิ่มตัวหรือ UFA (unsaturated fat) มักเก็บไม่ได้นานทั้งเมื่อถูกความเย็นก็จะเป็นไขทำให้ใช้ไม่สะดวก การเติมไฮโดรเจนลงไปในบางส่วน ช่วยให้ไขมันเก็บได้นานขึ้นไม่เป็นไข ทั้งให้เนื้อสัมผัสอร่อยขึ้นด้วย ไขมันทรานส์หรือ TFA ( trans fat)จึงครองตลาดตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าในต้นปี 1956 จะเป็นครั้งแรกที่วงการวิทยาศาสตร์เริ่มพูดถึงความเสี่ยงของไขมันทรานส์ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในสมองแต่ก็ยังไม่มีใครให้ความสำคัญเพราะมุ่งเรื่องอันตรายจากไขมันอิ่มตัวมากกว่า

เมื่อโลกเริ่มตระหนักอันตรายของไขมันทรานส์

Health Trans Fatty 2

การศึกษาเรื่องอันตรายของไขมันทรานส์เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อต้นปี 1990 และปี 1994 ก็มีการระบุว่า ไขมันทรานส์เป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจของคนอเมริกันถึงสองหมื่นคน ซึ่งช่วงนั้นมีอาหารไขมันทรานส์แพร่หลายทั้งในอเมริกาและยุโรป ทำให้เกิดแคมเปญการต่อต้านและนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในวงการอาหารอย่างมาก

ถ้าดูจากตัวเลขก็จะพบว่า ไขมันทรานส์ถูกมองเป็นฮีโร่ในวงการอาหารมาเกินกว่า50 ปี กว่าความคิดนี้จะเปลี่ยนไป ด้วยข้อมูลที่ระบุในงานวิจัยซึ่งแหล่งไขมันทรานส์ที่ทำให้เกิดปัญหามากที่สุดก็คือ จากมาร์การีนหรือเนยเทียมนั่นเอง ที่นอกจากมันจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดเลวหรือ LDL แล้ว ก็ยังไปลดคอเลสเตอรอลชนิดดีหรือ HDL ในร่างกายลงด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA ในช่วงแรกๆ ได้ออกกฎหมายให้มีการระบุปริมาณไขมันทรานส์ที่มีในอาหารและบางรัฐก็มีกฎหมายห้ามใช้ไขมันทรานส์โดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกับหลายประเทศของยุโรป จนถึงปี 2013 ที่FDAสหรัฐอเมริกาได้ออกมาระบุชัดเจนว่าไขมันทรานส์ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค

จะเห็นว่า ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เขามีการห้ามใช้ไขมันทรานส์นี้มานานกว่าสิบปีแล้ว แต่บ้านเราเพิ่งจะขยับตัว ดังนั้น เราอาจไม่ต้องกังวลมากนักกับอาหารที่นำเข้าจากประเทศเหล่านี้ เพราะเขาเลิกใช้กันก่อนเรามานานแล้วยิ่งแบรนด์ใหญ่ๆเขาก็ต้องรักษาชื่อเสียงกับผู้บริโภคของเขาด้วย สิ่งที่เราควรกลัวกันก็คือบรรดาขนมเบเกอรี่ข้างทางในบ้านเราที่ไม่เคยมีการระบุส่วนผสมที่ชัดเจน ไม่มีการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรใดๆและขายโดยใช้การโฆษณาว่าเป็น “ โฮมเมด” ขนมพวกนี้มีความเสี่ยงเพราะเราไม่รู้ที่มาที่ไปของส่วนผสม และบริโภคโดยอาศัยความไว้ใจเพียงอย่างเดียว ขนมเหล่านี้จะมีไขมันทรานส์ที่ใช้แพร่หลายก็คือมาร์การีนหรือเนยเทียม ที่ทำให้อร่อยและเก็บได้นาน ที่สำคัญคือต้นทุนต่ำ ดังนั้น ถ้าพบว่าขนมที่ซื้อข้างทางทั้งอร่อยทั้งเก็บได้นานทั้งราคาถูก ก็อย่าเพิ่งดีใจซื้อมาบริโภคเพราะเขาใช้ไขมันทรานส์เป็นส่วนผสม

ทำความเข้าใจประกาศห้ามใช้ไขมันทรานส์
ถ้าเราอ่านประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องนี้ให้ดีๆก็จะพบว่า การห้ามนั้นจะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันหรือ 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งจริงๆแล้วในทางปฏิบัติก่อนจะมีการเผยแพร่ประกาศฉบับนี้ ก็ได้มีการเรียกประชุมผู้ผลิตอาหารและแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนแล้วเพื่อให้เตรียมตัวปรับเปลี่ยนสูตรการผลิตไม่ให้กระทบกับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งผู้ผลิตก็ได้รับทราบและให้ความร่วมมือเตรียมพร้อมกันมาเป็นเวลากว่า 1 ปีในการปรับเปลี่ยนสูตร ดังนั้น ในช่วงนี้ที่มีประกาศนี้ออกมาผู้ผลิตจึงมีความพร้อมอยู่นานแล้ว ส่วนสาเหตุของเวลาการบังคับใช้ใน 180 วันนั้น ก็เพื่อให้ผู้ผลิตได้ไปปรับปรุงด้านรายละเอียดอื่นๆเช่น การพิมพ์ฉลากระบุส่วนประกอบอาหาร ฯลฯซึ่งปกติผู้ผลิตแบรนด์อุตสาหกรรมใหญ่ ก็จะมีการแจกแจงส่วนประกอบอาหารและรับอนุญาตเรียบร้อยแล้วก่อนวางจำหน่ายจึงไม่น่าจะต้องกังวลให้มากเกินไป

รู้ไหมว่าในอาหารธรรมชาติก็มีไขมันทรานส์ได้เช่นกัน
อีกเรื่องที่อยากให้รู้ก็คือ ไขมันทรานส์ไม่ได้เกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แต่เพียงแหล่งเดียว แต่ในอาหารธรรมชาติก็อาจมีไขมันนี้ได้เช่นกัน เช่นในเนื้อสัตว์, นม, และผลิตภัณฑ์จากนม เนื่องจากสัตว์เหล่านี้จะมีการผลิตไขมันทรานส์เกิดขึ้นได้ในกระเพาะอาหารและลำไส้ของมัน แต่ยังไม่มีการพบว่าไขมันทรานส์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จะมีผลกระทบต่อสุขภาพเหมือนไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรม

จะใช้น้ำมันอะไรให้ปลอดจากไขมันทรานส์

Health Trans Fatty 4

มีคำถามว่า เมื่อน้ำมันพืชที่ขายในท้องตลาดมีไขมันทรานส์ งั้นเราใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันมะพร้าวจะปลอดภัยกว่าไหมคำตอบก็คือน้ำมันหมูเป็นไขมันอิ่มตัวหรือ SFAยังไงก็มีโอกาสจะทำให้ไขมันในเลือดสูง เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองได้ง่ายกว่าน้ำมันพืช ส่วนน้ำมันมะพร้าว ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีกเพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงกว่าน้ำมันหมู ทั้งยังเกิดควันได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน ที่สำคัญคือน้ำมันนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับคนเป็นโรคหัวใจน้ำมันถั่วเหลือง มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยและทนความร้อนไม่เกิดควันง่ายถือว่าใช้ได้น้ำมันรำข้าว ดีกว่าน้ำมันถั่วเหลืองเพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ ทั้งทนต่อความร้อนได้มากกว่าน้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันปาล์มไม่แนะนำเพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวพอๆกับน้ำมันหมู ส่วนน้ำมันทานตะวัน แม้จะมีกรดไขมันอิ่มตัวน้อย แต่เก็บได้ไม่ทน น้ำมันคาโนลา มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุด ใช้ได้ดีรองจากน้ำมันรำข้าวสุดท้ายคือน้ำมันมะกอก ส่วนตัวแล้วชอบอันนี้ที่สุดและใช้ประจำเป็นน้ำมันที่มีการระบุจากนักโภชนาการว่ามีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยและมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงที่สุด ซึ่งถ้าจะใช้ทอดหรือผัดแนะนำว่าควรเลือกแบบ light เพราะกลิ่นไม่แรงมาก

ในน้ำมันและไขมันทุกชนิด จะมีกรดไขมันทั้งสามแบบคือ กรดไขมันอิ่มตัว (SFA), กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว(MUFA)และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(PUFA) ผสมผสานกันอยู่ไม่มีน้ำมันชนิดใดที่จะมีกรดไขมันแบบใดแบบหนึ่งเพียงแบบเดียว แต่สัดส่วนของกรดไขมันกลุ่มไหนมากกว่าก็จะถูกจัดประเภทให้อยู่ในกลุ่มนั้นและต้องเข้าใจด้วยว่า จะเป็นน้ำมันอะไรก็ตาม ถ้าใช้ทอดซ้ำๆหรือทอดด้วยความร้อนสูงมากๆนานๆ ก็จะทำให้เกิดไขมันทรานส์ได้ทั้งนั้นจากกระบวนการปรุงอาหาร ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง จากการชอบบริโภคอาหารทอดหรือขนมเบเกอรี่มีความเสี่ยงทั้งหลาย มาเป็นการบริโภคผักผลไม้สดให้มากขึ้น รวมทั้งบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยการอบ นึ่ง หรือต้ม เป็นหลักจะปลอดภัยที่สุด

เรื่องน่ารู้ของกรดไขมัน

Health Trans Fatty 3
กรดไขมันอิ่มตัว ( saturated fatty acid หรือ SFA)ถูกจัดให้เป็นไขมันที่ไม่ดี เพราะทำให้เกิดผลเสียเส้นเลือดในหัวใจและสมองเกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น ที่พบมากจะเป็นไขมันจากสัตว์เช่นน้ำมันหมู, ไขมันวัว, เนยสด ที่พบในพืชเช่นกะทิซึ่งเป็นไขมันจากมะพร้าว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว ( unsaturated fatty acid หรือ UFA)ซึ่งจะแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภทคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid หรือ MUFA)และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(polyunsatulated fatty acid หรือ PUFA)ซึ่งไขมันนี้ถูกจัดให้เป็นไขมันที่ดีและช่วยลดความเสี่ยงหลายอย่างของสุขภาพกรดไขมันนี้เช่นกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6ซึ่งพบได้ในพืชและปลา
กรดไขมันทรานส์(Trans-fatty acid หรือ TFA)เป็นกรดไขมันที่เกิดจากการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันพืชบางส่วนหรือpartial hydrogenationเพื่อเปลี่ยนกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือUFA ให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวหรือSFA เพื่อให้กลายเป็นของแข็งในอุณหภูมิห้องซึ่งถ้าเติมไฮโดรเจนจนเต็มส่วนหรือfully hydrogenation ก็จะได้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวทั้งหมด แต่ถ้าเติมเพียงบางส่วน ก็จะได้ไขมันทรานส์

เขาปรับเปลี่ยนไขมันทรานส์อย่างไรให้กับผู้บริโภค

Health Trans Fatty 5

ในต่างประเทศทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ต้นปี 2007 ได้ตั้งเป้าที่จะเลิกใช้ไขมันทรานส์นี้มานานแล้วตั้งแต่ปี 2007ผู้ผลิตหลายรายได้มีการปรับสูตรเพื่อให้ได้มาตรฐานตามกฎของสหรัฐอเมริกาที่ตั้งไว้ว่า “อาหารที่เสิร์ฟจะต้องมีไขมันทรานส์เป็น 0 กรัม“ได้มีการใช้วิธีการผสมน้ำมันหรือmix oil โดยการผสมกลุ่มน้ำมันได้แก่ น้ำมันมะกอกกับน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันคาโนลา นำมาผสมเข้ากับน้ำ, โมโนกลีเซอไรด์และกรดไขมัน เข้าด้วยกันเพื่อผลิตเป็นไขมันที่เหมาะจะใช้ปรุงอาหาร นอกจากนี้ การปรับสูตรการผลิตอาหารเพื่อเปลี่ยนจากการใช้ไขมันทรานส์ ซึ่งผู้ผลิตสามารถเลือกทำได้ด้วยวิธีต่างๆเช่น
1. การใช้น้ำมันปาล์มที่ผ่านกระบวนการกลั่นแบบสมบูรณ์หรือ (fully refined) แทนน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ( Partial Hydrogenation)ซึ่งน้ำมันที่กลั่นแบบสมบูรณ์นี้จะปลอดภัยจากไขมันทรานส์
2. การใช้กระบวนการผสมผสานน้ำมัน(oil blending)ทำให้ได้น้ำมันผสมทางเลือกใหม่ในการทำอาหาร วิธีนี้จะดึงจุดเด่นของน้ำมันแต่ละชนิดนำมาผสมกัน ให้เป็นน้ำมันผสมที่มีสัดส่วนของกรดไขมันที่สมบูรณ์ เหมาะกับวิธีใช้ปรุงอาหาร ซึ่งใช้สัดส่วนการผสมที่สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก น้ำมันที่เบลนด์ได้จะเหมาะสมกับวิธีปรุงอาหารแต่ละวิธีโดยไม่เกิดสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง ซึ่งขณะนี้มีน้ำมันนี้มีวางขายแล้วในท้องตลาด
3. การใช้กระบวนการผลิตด้วยวิธี fractionation เป็นการแยกเอาไขมันของน้ำมันออกด้วยความเย็นแล้วกรองเอาไขมันนั้นไปผ่านความเย็นอีกครั้งจนเป็นของแข็งใช้เป็น shortening ทำขนมแทนมาร์การีนมักใช้น้ำมันรำข้าวเพราะมีคุณภาพดี
4. การทำ full hydrogenation คือแทนที่จะเติมไฮโดรเจนเพียงบางส่วนแบบที่ทำกับไขมันทรานส์ ก็เติมลงไปจนเต็มส่วนให้ไขมันนั้นกลายเป็นไขมันอิ่มตัวทั้งหมด แล้วจึงเอามาทำ oil blending กับน้ำมันปกติ วิธีนี้ก็จะได้ shortening ที่ไม่มีไขมันทรานส์ แต่ก็จะมีไขมันอิ่มตัวอยู่ในนั้นแทน ซึ่งก็จะทำให้กลับสู่บริบทของการบริโภคไขมันอิ่มตัว ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงสุขภาพ แต่ก็จะลดข้อเสียข้อหนึ่งของไขมันทรานส์ในเรื่องการไปลดปริมาณ HDL ในร่างกายลงไปได้

เมื่อเห็นแล้วว่า ผู้ผลิตทั้งหลายเขามีความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ปลอดจากไขมันทรานส์ เราก็ไม่ต้องกังวลให้มากไปทีนี้ก็ต้องถามตัวเราเองว่าพร้อมที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคของตัวเองหรือยัง ยุคนี้ขนมอร่อยๆพวกเบเกอรี่มีมากมาย จะห้ามใจไม่ให้บริโภคเลยก็คงยากแต่ก็ควรทำความเข้าใจในส่วนประกอบผลิตภัณฑ์อาหาร และหมั่นหาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การอาหารเพื่อรู้ว่าสิ่งที่เราบริโภคนั้นมีความเสี่ยงมากแค่ไหนจะได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพที่ดีของเรา หวังว่าเรื่องที่เล่ามานี้ จะทำให้คุณคลายความกังวลเรื่องไขมันทรานส์ลงไปได้บ้างนะคะ