เบรกเที่ยวในกรุงปารีส ตอนที่ 1
By Paul Sansopone
“…..งานศิลปะแบบ Impressionist หรือผลงานยุคเริ่มต้นของ Van Gogh หรืองานภาพยนตร์ของ Roman Polanski, Woody Allen หรือผลงานภาพถ่ายของ David Hamilton, นวนิยายของ Ernest Hemingway คงไม่เกิดขึ้นมาง่ายๆ ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นที่นี่หรือการนำเอาปารีสมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผลงาน…..”
บทนำ Intro
Paris ปารี คือชื่อเมืองนี้ในภาษาฝรั่งเศส แต่ไม่ว่าจะเรียกว่า ‘ปารี’หรือ ‘ปารีส’ คือมันก็เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปินในแขนงไหน มีสไตล์แบบไหนหรือถูกจัดอยู่ในหมวดไหน Genres ไหน อยู่ใน Set หรือ Sub-set ไหน ถ้าคุณบอกไม่ชอบนั่นหมายถึงคุณปฏิเสธ คำที่อยู่ใน Key words เหล่านี้: Art, Beauty, Romance, Indulgence, Classic, Tastes, Ideal, Philosophy, History, Erotic, Desire, Design, Thought … Perfection, Practical……ก็คือไม่ว่าคุณจะโยนคำไหนเข้าไป คุณมักจะเจอมันได้ที่นี่ และถ้าเรายิ่งลงลึกไปอีกคือพยายามที่จะเข้าถึงมันอย่างจริงจัง เราก็ยิ่งต้องทึ่งกับเมืองนี้เข้าไปอีก มันเป็นเรื่อง‘วิธีคิด’ Process of Thinking แบบคน ฝรั่งเศส วิถีชีวิตและแนวคิดในการนำเสนอถือเป็น Chapter หนึ่งของอารยะธรรมตะวันตก ไม่แตกต่างจากที่ชาวกรีซหรือโรมันทำมาในอดีตกับเอเธนส์และโรม เพียงแต่มันเป็นคนละยุคสมัยเท่านั้นเอง โดดเด่นด้วยการวางผังเมืองของ Haussman มีการนำสถาปัตยกรรม และศิลปะมาใช้ในการออกแบบชนิดลงรายละเอียดกับอาคารสถานที่ทุกประเภทแม้แต่ที่อยู่อาศัย, เสาไฟฟ้า, สะพาน แม้แต่ป้ายชื่อถนนหรือป้ายทางลง Metro ซึ่งปกติในสมัยก่อนหน้านั้นรายละเอียดแบบนี้จะเน้นใช้กับโบสถ์หรือศาลากลางเมืองเท่านั้น มีการวาง Monumentหรืออนุสรณ์สถาน อนุสาวรีย์ที่เป็นผลงานศิลประดับโลกไว้ในทุกมุมถนน ที่แผ่กระจายไปไม่กระจุกตัว การเอาบรรยากาศของแม่น้ำเซนน์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการออกแบบสะพาน และPromenade ทางเดินริมน้ำ การทำถนนขนาดใหญ่รองรับอนาคตแล้วยังมีการวางระบบรถไฟใต้ดินแบบเส้นก๋วยเตี๋ยว (Noodle System) ที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหนในใจกลางกรุงปารีสคุณจะเดินไม่เกิน 300 เมตร เพื่อไปยังป้ายตัว M หรือ Metro (รถไฟใต้ดิน)
แน่นอนว่าระบบสายไฟสายระโยงระยางทั้งหลายก็ลงใต้ดินหมด เพื่อให้ถนนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘เอฟเวอนู’ (Avenue) นั้นมีที่ว่างสำหรับต้นไม้ขนาดใหญ่แบบต้น Honey Locust, Horse Chestnut, Japanese Cherry, Linden Tree, สร้างความสวยงามแบบเปลี่ยนไปในแต่ละฤดู ไม่ต้องมีสายไฟมาทำลายบรรยากาศ และเวลาเขาคิดก็คิดให้จบเลยโดยคิดเผื่อว่าหากใบไม้ร่วงล่ะต้นไม้เป็นพันต้นจะทำความสะอาดไหวหรือใช้คนกวาดถนนกันกี่คนล่ะ เราจะเห็นว่าพอใบไม้ร่วงระบบทำความสะอาดของถนนในปารีสที่เราเห็นจะปล่อยน้ำให้ไหลจาก 2 ข้างทางให้พาเศษขยะใบไม้แห้งลงท่อระบายน้ำไปโดยใช้แรงโน้มถ่วงหรือ Gravity
งานศิลปะแบบ Impressionist หรือผลงานยุคเริ่มต้นของ Van Gogh หรืองานภาพยนตร์ของ Roman Polanski, Woody Allen หรือผลงานภาพถ่ายของ David Hamilton คงไม่เกิดขึ้นมาง่ายๆ ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นที่นี่หรือการนำเอาปารีสมาเป็นองค์ประกอบหนึ่งของผลงาน
และข้อดีของเมืองหลวงแห่งนี้ก็คือไม่ว่าคุณจะมากี่ครั้งในรอบ 10 ปี 20 ปี มันจะไม่เปลี่ยนไปมาก มันไม่เหมือนกรุงเทพฯ ที่เราปรับเปลี่ยนตลอด เช่นตรงนี้เคยเป็นสถานทูตอังกฤษแต่ตอนนี้กลายเป็นห้างเซ็นทรัลแอมบาสซี่ไปแล้ว หรือหัวมุมถนนนี้นั้นถุกทุบทิ้งกลายเป็นคอนโดฯไปหมดแล้ว ตึกแถวสองข้างทางถนนเล็กๆ แบบโรแมนติกน่ารักก็โดนเวนคืน เพราะต้องขยายถนน หรือทำรถไฟฟ้า, รถไฟใต้ดิน หรือต้องวางท่อระบายน้ำขนาดใหญ่เพราะป้องกันน้ำท่วมและบางส่วนก็เริ่มขุดเอาสายไฟลงใต้ดิน ภาพของกรุงเทพเราเปลี่ยนไปตลอด แต่ที่ปารีสมันแถบจะไม่เปลี่ยน โดยเฉพาะอาคารสิ่งก่อสร้างถนนหนทางจะคงความคลาสิกแบบนั้นไปตลอด เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกวางแผนมาอย่างดีและไม่ระเบียบเข้มจากสำนักผังเมือง ไม่ให้ปรับเปลี่ยนง่ายๆ แต่เมืองมันกลับดูสมัยใหม่ล้ำหน้าเพราะความคลาสสิกนั้นจะถูกตัดกับความทันสมัยของการแต่ง Display หน้าร้านและโดยเฉพาะป้ายโฆษณาต่างๆ ซึ่งสวยทันสมัยเพราะมักเป็นโฆษณาของสินค้าแบรนด์เนมจึงเป็นโฆษณาที่ที่ใช้ต้นทุนสูงมีการออกแบบใช้นางแบบระดับท็อป หรือการแต่งกายของผู้คนตามถนน หรือบริการสาธารณะแบบรถเมล์ของปารีสที่ดูทันสมัยขึ้น และบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่อยู่บนท้องถนนของเมืองนี้
สุดท้ายก็คือฤดูที่เรามา นั่นคือสิ่งที่เราจะเห็นว่ามันเปลี่ยนไปแต่นอกนั้นแล้วคือปารีสเมืองเดิมที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ต้องมีคอนโดหรือศูนย์การค้าใหม่ๆ มา ชาวปารีสไม่ต้องการหากจะมีก็คงต้องอยู่ในย่านที่ถูกกำหนดไว้ให้เท่านั้นเช่นย่าน La Défense ซึ่งอนุญาตให้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เกิดขึ้นได้ อย่าง Background ของภาพข้างล่างนี้
ความทรงจำเกี่ยวกับปารีส
ในตอนแรกนี้ผมจะขอพูดถึง First Impression ของผมเมื่อครั้งมาปารีสครั้งแรกก่อน ซึ่งอาจไม่เหมือนใคร หลายคนอาจบอกว่าประทับใจปารีสก็ตอนเมื่อได้เห็นหอไอเฟลหรือประตูชัยฯ แต่ผมกลับเริ่มประทับใจตั้งแต่ด่านแรกเลย มันคือสนามบินปารีสครับ…ผมมาปารีสครั้งแรกในสมัยปี 1980 โดยการบินไทย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่นิยมบินตรงหรืออาจเป็นเพราะประสิทธิภาพของเครื่องที่ใช้บิน Long haul ในยุคนั้นยังบินรวดเดียวได้ไม่เกิน 10 ชั่วโมง มันเป็นเพราะเครื่องยนต์รุ่นเก่ายังไม่ประหยัดน้ำมันนักกับการออกแบบปีก ยังไม่ถึงยุคของ Winglets ที่เป็นปีกเล็กๆ ที่งอขึ้นตรงปลายปีกของเครื่องยุคใหม่ ที่จะช่วยเรื่องแอโรไดนามิก ทำให้ใช้น้ำมันน้อยลง ในขณะที่ Airframe ก็ยังไม่ใช้วัสดุเบาแบบ Composite ทำให้เครื่องยังหนักอยู่ ทำนองนั้น
จำได้ว่าแวะจอดที่เอเธนส์ก่อนแล้วจึงบินต่อมาลงสนามบิน Charles de Gaulle(CDG) ซึ่งก็ได้มาพบกับอาคารปูนเปลือยทรงกลม 11 ชั้นที่เป็น Terminal 1 ของสนามบินนี้ซึ่งหลายคนบอกว่าเหมือนยานอวกาศ Space Ship หรือจานบิน UFO บ้างก็ว่าคล้ายเป็นสถานีอวกาศ Space Station ต้องยกเครดิตให้ผู้ออกแบบที่ชื่อ Paul Andreu ที่นำเสนอ Concept แบบ Avant-garde Design ก็คือล้ำยุค แหวกกฎ จากการออกแบบอาคารสนามบินในยุคนั้น บางท่านท่านอาจโต้แย้งว่าไม่เห็นจะล้ำสมัยตรงไหน แต่อย่าลืมว่าการออกแบบของเขาเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายยุค’60 หรือตอนที่เขาอายุ 29 ปีมีความคิดแบบคนวัยหนุ่มเต็มที่มาถึงตอนนี้ 50 ปีให้หลังอาจจะดูธรรมดาไปหรือเก่าไปแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าในยุคนั้นล้ำสมัยเอามากๆ มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ใช้ฉากถ่ายทำที่นี่ เช่นเรื่อง Airport ’79 ที่ Alain Delon พระเอกรูปหล่อชาวฝรั่งเศสเล่นเป็นกัปตันเครื่อง Concord แล้วมี Sylvia Kristel นางเอกฝรั่งเศสจากภาพยนตร์ดังแห่งยุคนั้นเรื่อง Emmanuelle มารับบทเป็น Stewardess บนเครื่อง หรือหนังที่ผมชอบมากเกี่ยวกับปารีสอีกเรื่องก็คือ Frantic สร้างโดย Roman Polanski แสดงโดย Harrison Ford
อาคารแห่งนี้เป็นอาคารทรงกลม 11 ชั้นที่ดูเหมือนรวมทุกฟังชั่นไว้ทุกอย่างในอาคารเดียวกันแต่ไม่ใช่ มันประกอบด้วยอาคารย่อยที่เรียกว่า Satellite ที่มี 7 อาคารอยู่รอบๆ อาคารหลักทำหน้าที่เป็นอาคารที่ใช้ให้เครื่องจอดเทียบท่าและใช้Holding และBoarding ผู้โดยสารซึ่งเชื่อมกับอาคารหลักทรงกลมด้วยทางเลื่อนมุดไปใต้ดิน (Underground Walkways)มันให้ความรู้สึกล้ำยุคมาก โดยเฉพาะหากเรามาลงที่ CDG1 ในสมัยก่อนโน้น พอออกมาจากทางเลื่อนใต้ดินก็จะเจอกับทางเลื่อนหลอดแก้วแบบบนยานอวกาศที่เรียกว่า Sky Tube สวนกันไปมา เพราะ Sky Tube เหล่านี้จะอยู่ตรงใจกลางของอาคารที่เปิดโล่งเป็นรูเหมือนโดนัท เพื่อให้แสงเข้าเป็นแบบ Skylight แต่แบบไม่มีหลังคากระจกนะครับ นั่นหมายถึงเมื่อหิมะตก หรือฝนตกเราก็จะได้สัมผัสบรรยากาศโรแมนติกแบบนั้น เหมือนนั่งรถยนต์มี Moon Roof หรือ Panoramic Roof ยังงั้นเลย ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปจากประเทศอื่นจากปารีสหรือผู้โดยสารที่มาจากนานาประเทศที่มาเที่ยวปารีสก็จะได้บรรยากาศนี้เหมือนกันครับ ต้องยอมรับใน Concept และIdeaที่ไม่เหมือนใคร
ในขณะที่ Terminal 2 นั้นก็ออกแบบโดยคนเดียวกันนี้แหละครับ แต่มี Concept ที่แตกต่างอีกเช่นกันไม่เหมือนสนามบินไหนในโลก เพราะวัตถุประสงค์คือต้องการให้ระยะทางเดินลงจากเครื่องคือออกจากงวงหรือ air bridge มาก็ผ่าน ตรวจคนเข้าเมืองรับกระเป๋าแล้วเรียก Taxi เข้าเมืองได้เลย เหมาะสำหรับ Flight Domestic ของ EU ด้วยกันที่ไม่ต้องใช้ Visa เข้าเมืองแต่สำหรับที่ต้องใช้ก็เข้าคิวเหมือนปกติ ปัจจุบัน Terminal 2 นั้นเปลี่ยนไปมากแล้วมี Sub Terminal 7 อาคาร เป็น 2A-2G แถมยังมี Terminal 3 ขึ้นมาอีกสำหรับ Low Cost Airline วุ่นวายกว่าเดิมมากแล้วก็ไม่ค่อยได้รับคำชมจาก Users Review เอาเลย เพราะความที่รูปแบบไม่เหมือนสนามบินไหนๆ ไม่ User Friendly ผู้โดยสารที่ต่อเครื่องตกเครื่องบ่อย มันเลยทำให้มีการวิจารณ์การออกแบบของฝรั่งเศสว่าเป็นลักษณะที่ไม่ใช่ Form Follow Function แต่กลายเป็นว่า Form หรือรูปทรงต้องสวยเท่ห์ไว้ก่อน Function ค่อยว่ากันทีหลัง
พูดถึงเรื่องออกแบบก็อดจะพูดถึงรถยนต์ฝรั่งเศสไม่ได้ ต้องขอบอกว่าว่าฝรั่งเศสเป็นชาติที่มีความก้าวหน้าเรื่องวิศวกรรมในอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าเครื่องบินหรือรถยนต์ก็ถือเป็นชาติแรกๆ ที่พัฒนาเครื่องยนต์เครื่องจักรเหล่านี้ขึ้นมาแต่ความที่มีแนวคิดเรื่องการออกแบบรูปทรงไม่เหมือนชาติไหนๆ ทำให้รถฝรั่งเศสนั้นขายไม่ดีในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นรถ ซีโตเอ่น,เรโนลด์หรือเปอโญต์ ทั้งที่มีอยู่ยุคหนึ่ง ช่วงปี 70-80 รถฝรั่งเศสก็โดดเด่นมาก โดยเฉพาะ Citroën รุ่น DS ต่อด้วยรุ่น CX ที่มีแนวคิดระบบกันสะเทือนที่ไม่เหมือนใคร ใช้ระบบไฮโดรลิกที่นอกจากนุ่มนวลแล้วยังใช้ยกตัวถังให้สูงหนีน้ำท่วมในกรุงเทพฯได้อีกต่างหาก ส่วนเปอโญต์รุ่น 504,505,405 ก็ได้ชื่อว่ามีความอึดแข็งแรงทนทาน
แต่ข้อดีของความก้าวหน้าล้ำยุคของการออกแบบของฝรั่งเศสที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนก็ส่งผลทำให้เป็นผู้นำในด้านการแฟชั่นเครื่องแต่งกาย และอีกหลายด้านที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม งานศิลปะ ซึ่งน่าชื่นชมและศึกษายิ่งนัก
ผมจะพาท่านไปสัมผัสกับปารีสในแบบที่เราควรจะรู้จัก ไม่ว่าเรื่องดื่ม, กิน, เที่ยว, ซื้อ, รู้จัก, ลอง ฯลฯ ในสไตล์ของ City Break Series ต่อจาก New York และRome ครับ