เบรกเที่ยวในโรม…เที่ยวโรมแบบผู้ที่ยังใหม่กับโรม (ต่อ)
โดย Paul Sansopone
3.ไปเช่าvespaขี่เข้าฉากหนังโรแมนติกดังของโรม ย่าน Centro Storico (เชนโตร สตอริโก)
ถึงแม้ว่าฉายาแบบเป็นทางการของโรมคือ Eternal City แต่อีกฉายานึง (แบบไม่เป็นทางการ) ก็คือ Romantic City เพราะคำว่า Romantic มันตั้งต้น 4 ตัวอักษรแรกว่า Roma ซึ่งก็คือกรุงโรมนั่นเอง แต่ถ้าจะเอาให้ถูกต้องคำนี้มาจากภาษาละตินว่า romant, หมายถึง ‘in the Roman manner’ ซึ่ง Roman ก็คือชาวกรุงโรมครับ จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ไม่รู้แต่ในบรรดาหนังรักโรแมนติกทั้งหลายทั้งเก่าใหม่ก็มักใช้Locationถ่ายทำที่นี่ เป็นการยืนยันว่ามันคือเมืองแห่งความรัก หนังโรแมนติกที่ถ่ายทำในโรมที่ผมชอบก็มี ‘Only you’ นำโดย Robert Downey Jr., ‘EAT, PRAY, LOVE’ นำโดย Julia Roberts และTo Rome with Love ของ Woody Allen, The man from U.N.C.L.E และอื่นๆ แต่มันคงไม่มีเรื่องไหนจะสุด Classic เท่ากับข้างล่างนี่เลย
Roman Holiday หนังปี 1953 เป็นAmerican romantic comedy เป็นเรื่องการเดินทางของเจ้าหญิงแอนน์ (Audrey Hepburn) ที่เสด็จมาโรมเรื่องงานหลวง แต่แอบหนีออกมาเที่ยวโรมตอนกลางคืน เหน็ดเหนื่อยจนหลับไปที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ แล้วพระเอกนักข่าว Joe Bradley (Gregory Peck) ก็พาสาวหลงทางคนนี้กลับอพาร์ทเมนต์ตัวเอง และมารู้ตอนเช้าว่าเธอคือเจ้าหญิงแอนน์ และเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างสนุก เรื่องนี้เป็นหนังอเมริกันเรื่องแรกที่ Audrey Hepburn แสดงและสามารถคว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมไปได้Academy Award for Best Actress รวมทั้งเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม Costume Design ที่น่าสนใจคือหนังเรื่องนี้ตั้งใจจะสร้างเป็นหนังสีแต่ค่าถ่ายทำในโรมแพงเกินงบจึงตัดสินใจออกมาเป็นหนังขาวดำ
และเนื่องจากโปสเตอร์แผ่นปิดของหนังเรื่องนี้จะมีเอกลักษณ์คือเป็นรูปพระเอกขี่เวสป้าพานางเอกเที่ยวไปในโรมก็คงต้องพูดถึงเจ้าพาหนะคู่ใจหนุ่มสาวอิตาเลี่ยนสมัยหลังสงครามที่ชื่อเวสป้านี่ซะหน่อย
เวสป้า
คุณรู้หรือไม่?
Vespas คือรถscooterที่เปรียบเหมือนคนอิตาเลี่ยน คือมักจะส่งเสียงดังแบบไม่เกรงใจ รักสนุกไม่ค่อยเป็นงานเป็นการนัก บางครั้งก็ไว้ใจไม่ค่อยได้แถมยังเจ้าอารมณ์ แต่มีสไตล์ได้แบบง่ายๆ นี่คือความผสมผสานคุณสมบัติของรถscooter ที่ผลิตที่เมืองปอนเตเดราของอิตาลี มันมีเครื่องที่เสียงดังหนวกหู บางครั้งก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ อยากจะดับก็ดับแต่ใช้งานง่าย มีสไตล์เท่ และสีสันสดใส ไม่น่าเชื่อว่าในปัจจุบันผู้คนต่างใฝ่หารถเวสป้าเก่าๆรุ่นคลาสสิกเช่นรุ่นปี 1952 Vespa U model หรือรุ่นปี 1946 Vespa 98 มาเป็นของสะสมปัจจุบันราคามากกว่า $40,000แล้ว
ไม่ว่าในหนังอิตาเลี่ยนขาวดำเก่าๆ เช่น La Dolce Vita หรือหนัง Hollywood เรื่อง Roman Holiday ที่พระเอกเกอเกรี่เปค ใส่สูทเซ็นญ่าแบบสุดเท่ขี่เวสป้าฉวัดเฉวียนพาออเดรย์ เฮปเบิร์นเที่ยวไปในกรุงโรม หรือจากหนังวัยรุ่นของอิตาลีที่มักจะมีฉากหนุ่มใส่ยีนส์ผมมันเยิ้มใส่เสื้อผ้าสำลี เคี้ยวหมากฝรั่งกำลังจอดเวสป้าสีเขียวturquoise เพื่อแวะดื่มเอสเพรสโซ่โดยที่ไม่ยอมถอดแว่นเรย์แบนออก คุณคงพอจะเดาได้ว่าเวสป้านั้นมันดังและคลาสิกขนาดไหน
จนถึงวันนี้บริษัท Piaggioได้ผลิตเวสป้าสกูตเตอร์ออกมาแล้วกว่า 16 ล้านคันโดยมีโรงงานอยู่ในสิบสามประเทศและทำตลาดขายทั่วโลก ครั้งแรกที่ Enrico Piaggio ได้เห็นต้นแบบที่ออกแบบ โดย Corradino D’Ascanio วิศวกรอากาศยานที่เก่งคนหนึ่งเขาบอกว่า “มันดูเหมือนตัวต่อ!” เพราะก้นจะป่องเอวคอด และมันชอบบินโฉบไปโฉบมา ก็เลยเป็นที่มาของชื่อคำว่าเวสป้าในภาษาอิตาเลี่ยนมันก็แปลตรงๆว่าตัวต่อนั่นแหละ หลังจากนั้นภายในไม่กี่เดือนการร่วมทุนใหม่ของ Piaggio ก็เกิดขึ้นและเวสป้าก็เข้าสู่สายพานการผลิตในปี 1946 ภาษาอิตาลีถึงกับมีคำกริยาใหม่ vespare แปลว่าไปที่แห่งหนึ่งด้วยเวสป้า
เวสป้าของ D’Ascanio มีเสน่ห์ มันราคาถูก และดูน่าเชื่อถือ ผู้หญิงก็สามารถขี่มันได้แม้จะใส่กระโปรงแถมมีที่วางเท้าแบบfloorboard และแผงบังลมด้านหน้ากันลมตีอีกด้วย เครื่องยนต์ก็ซ่อนเอาไว้ในตัวถังแบบunibody เหล็กขึ้นรูปซึ่งรวม cowling ที่สมบูรณ์แบบซึ่งทำให้เสื้อผ้าไม่ไปเปื้อนคราบน้ำมันที่ติดอยู่แถวเครื่อง แถมมีที่เก็บของที่ซุกอยู่ใต้เบาะที่นั่ง และมีล้อขนาดเล็กไม่ต้องกลัวขากางเกงหรือแหย่เข้าไปในซี่ลวดล้อที่อาจเกิดอุบัติเหตุสยอง เขาออกแบบได้ฉลาดและคิดเสมอว่าคนที่จะขี่นั้นต้องแต่งตัวใส่เสื้อผ้าเก๋ๆอิตาเลี่ยนสไตล์
ยิ่งกว่านี้เวสป้า ซึ่งมีเสียงเครื่องครางฮึ่งๆ เหมือนตัวต่อเช่นกัน เป็นอะไรที่สนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลียุคหลังสงครามที่ต้องพยายามฟื้นตัวจากซากระเบิดของฝ่ายพันธมิตร ต้องการอะไรที่ประหยัดราคาไม่แพง แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้คนเลิกหดหู่หันมาหาความบันเทิงแต่ใช้จ่ายน้อย เวสป้าเป็นรถที่ใช้เครื่องความจุไม่ถึง100 cc ประหยัดและสนุกแน่ๆ ตอบโจทย์เลย
ผู้หญิงแน่นอนรักเวสป้า เพราะในสมัยนั้นจะใส่กระโปงไปคร่อมขี่มอเตอร์ไซด์ได้ไง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ไม่ว่าบริษัทของญี่ปุ่นหรือเยอรมันการผลิตรถแบบscooterออกมาเพื่อแข่งกับ Vespa แต่มันก็ยังไม่สามารถสู้ความคลาสสิกดั้งเดิมของรถScooterจากอิตาลีได้
Vespa 946
ในปีนี้ Piaggio เปิดตัวรุ่น 946 สกูตเตอร์ที่ทำออกมาได้อย่างสวยงาม นำเอาต้นแบบเดิมของ D’Ascanio กลับมาแต่ปรับให้มันอยู่ในสมัยคล้าย Fiat 500 ยุคใหม่นั่นแหละ ตัวนี้มีกำลังม้ามากกว่าตัวปี 46 ถึง 4 เท่า มีเบรก ABS และดูทนทานมากขึ้น การโฆษณาก็ใช้หญิงสาวๆ มีเสน่ห์เก๋ไก๋ขี่ scootering ทั่วกรุงโรมมุกเดิมนั่นแหละแต่มีความแตกต่างระหว่างพวกเขา และเจ้าหญิง Audrey Hepburn ของหกสิบปีที่ผ่านมา ก็คือพวกเขาดูเอาการเอางานคือกำลังขี่ไปทำงาน ไม่ได้อยู่ในช่วงเที่ยวโรมันวันหยุดแน่นอน แต่ที่แน่ๆ การออกแบบเวสป้านั้นประสบความสำเร็จ เพราะมันสะท้อนความมีเสน่ห์ของประเทศอิตาลีและรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวอิตาเลี่ยน
แล้วในหนังเขาขี่ไปเที่ยวไหนกัน มันก็ต้องย่านใจกลางกรุงโรมที่เรียกว่า Centro Storico(เชนโตร สตอริโก) ไงครับ มันมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น a must สำหรับผู้ที่ไม่เคยมากรุงโรมที่อย่างน้อยควรไปแวะสัมผัสให้ได้ ที่จุดอื่นๆ ใช้นั่งรถผ่านชมเฉยๆ ได้ ที่ผมจั่วหัวให้เช่าvespaขี่เที่ยวในย่านนี้ เพราะมันเข้าบรรยากาศและเหมาะกับเมืองอย่างโรมมาก ท่านสามารถกูเกิ้ลประโยคนี้ “vespa rental in Rome for tourist”จะมีlistของบรรดาร้านให้เช่าหรือที่จัดเป็นแบบทัวร์(vespa tour)แบบขี่ตามไกด์ผู้นำทางไปก็สนุกดีแต่ถ้าไม่อยากขี่หรือขี่ไม่เป็น สถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมติกทั้ง 4 ที่ผมกำลังแนะนำนี้ ใช้เดินเอาได้เลยครับมันเดินถึงกันง่ายๆ ห่างกันจุดละ 15-20 นาทีสบายๆ
จุดที่ 1 The Trevi:
Pic.credit italy4real.com
น้ำพุแห่งนี้เชื่อว่าถูกสร้างในสมัยโรมัน ในจุดที่ท่อส่งลำเลียงน้ำที่ชื่อ Aqua Virgo Aqueduct ในปี 19 B.C.มาสิ้นสุดที่โรม ที่ชื่อ Aqua Virgo หรือ Virgin Waters ก็เพราะเป็นเกียรติให้กับหญิงสาวบริสุทธิ์คนที่เป็นผู้นำทางทหารโรมันไปพบจุดที่เป็น ‘ตาน้ำ’ หรือต้นกำเนิดน้ำแร่บริสุทธิ์ห่างกรุงโรมออกไป 22 ไมล์ ทำให้จักรพรรดิสั่งให้ทำท่อลำเลียงน้ำจากตรงนั้นเข้ามายังใจกลางโรม เพื่อใช้สำหรับการอาบน้ำแร่แบบ tradition roman bath และดื่ม ทีนี้จุดที่มาสิ้นสุดในโรมนั้นมันมีถนน 3 สายมาตัดกัน ในสมัยนั้นก็เลยเป็นที่มาของชื่อเตร tre แปลว่า 3 vie แปลว่าถนนในภาษาลาติน (ในภาษาอิตาเลียนคือ Via) แต่งานที่ท่านเห็นในปัจจุบันเป็นงานที่สันตะปาปา Pope Clemens XII สั่งให้สร้างนำพุที่สวยงามทับลงในจุดนี้ในปี 1730 และผู้ชนะการประกวดแบบคือ Nicola Salvi ชาวกรุงโรม ทั้งที่จริงแล้วผู้ชนะที่แท้จริงคือ Alessandro Galileo สถาปนิกที่มีสกุลเดียวกับนักดาราศาสตร์ชื่อดังคือ Galileo แต่แพ้ไปเพราะเขาเป็นชาวเมืองฟลอเรนซ์ไม่ใช่โรมและราคา project ก็สูงกว่าของ Salvi ที่เจาะจงใช้หิน travertine stone จากแม่น้ำ Tiber แบบเดียวกับที่ใช้สร้างสนามประลอง Colosseum มันเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโรมสูง 85 feet กว้าง 65 feet
แต่ที่น่าสนใจคือมันมีตำนานความเชื่อเรื่องการโยนเหรียญไว้ที่นี่ แต่ต้องโยนให้ถูกวิธีคือต้องหันหลังให้บ่อและโยนข้ามไหล่ซ้ายด้วยมือขวาแล้วอธิษฐานจะได้กลับมาที่นี่อีก จริงๆ แล้วมันเป็นประเพณีของทหารโรมันโบราณ ที่ก่อนออกรบนั้นถือเคล็ดว่าต้องโยนเหรียญทิ้งไว้ในบ่อน้ำแถวบ้าน เพื่อจะได้กลับมาบ้านอีก คือให้รอดตายจากการรบนั่นเอง เรื่องจะจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาโยนเหรียญไว้ที่นี่มีมูลค่าวันละเฉลี่ยถึง €3,000 ซึ่งเค้าก็นำไปเข้าโครงการการกุศล Caritas เพื่อช่วยเหลือเรื่องอาหารคนจน นั่นหมายความว่าทุกคนที่ไปโยนเหรียญไว้ที่นี่ได้ทำบุญไปในตัว
จุดที่ 2 Spanish Step
ฉากพระเอกขี่เวสป้าที่บันไดสเปนจากภาพยนต์เรื่อง The man from U.N.C.L.E
มีบันไดสวยๆ ขึ้นชื่ออยู่หลายแห่งทั่วโลก เช่น Potemkin Stairs ใน Odessa ประเทศ Ukraine หรือ Escadaria Selaron ที่ Rio de Janiero ประเทศ Brazil แต่จะมีที่ไหนจะสู้ความโรแมนติกของ ‘บันไดสเปน’ ได้ แม้ว่าผลงานทางสถาปัตยกรรมที่เป็นบันได138 ขั้นนี้ โดย Francesco de Sanctis และ Alessandro Specchi นี้จะดูเป็นของใหม่เมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ในโรม แต่มันก็สร้างมาตั้งแต่ปี 1717 ก่อนจะมีประเทศสหรัฐอเมริกา(1776) จริงๆ แล้วมันถูกออกแบบให้เป็นทางลัดเดินขึ้นไปที่โบสถ์ Trinita dei Monti ที่อยู่บนเนินเขาด้านบน ในแง่การออกแบบถ้ามองจากบนอากาศลงมามันจะถูกออกแบบเป็นทรงแบบแจกันหรือบางคนบอกว่าเหมือนสร้อยคอแบบอียิปต์
นอกจากด้านบนของบันไดจะเป็นโบสถ์ จัตุรัสด้านล่างที่ชื่อ Piazza di Spagna ก่อนขึ้นบันไดยังมีน้ำพุที่เป็นผลงานเอกของ Pietro Bernini คุณพ่อของลูกอัจฉริยะแห่งศิลปะบาโรค Gian Lorenzo Bernini ที่มีผลงานอยู่ทั่วโรมถือเป็นอภิชาตบุตรโดยแท้ สำหรับน้ำพุที่คุณพ่อสร้างนั้นมีชื่อว่า Barcaccia Fountain มีรูปร่างเป็นเหมือนเรือเกยตื้น ทั้งนี้เพราะในปีคศ.1598 นั้น มีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แม่น้ำไตเบอร์ที่ไหลผ่ากลางกรุงโรมมีน้ำเอ่อล้นพาเรือลำหนึ่งขึ้นมาถึงจัตุรัสสเปน แต่พอน้ำลงไปเรือไม่ลงไปด้วยเกยตื้นอยู่กลางจัตุรัสนั่นเอง ทำให้พ่อของแบรนีนี่ใช้จินตนาการจากตรงนั้นทำรูปร่างน้ำพุแห่งนี้ให้เหมือนมีเรือจอดอยู่ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้คือจุดนัดพบที่ยอดเยี่ยมเราสามารถนั่งพักเหนื่อยตามขั้นบันได People Watching นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ต่างมาชื่นชมจัตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเรียกว่าจัตุรัสสเปนก็เพราะว่ามันเคยมีสถานทูตสเปนตั่งอยู่ที่นี่ แต่โดยรวมมันก็ให้บรรยากาศแบบสเปนพอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า
จุดที่ 3 The Pantheon
ที่มาของชื่อ ‘อมตะนคร’ฉายาของกรุงโรม ก็มาจากความเชื่อของชาวโรมันที่ว่า…ไม่ว่าโลกเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือจักรวรรดิโรมันจะล่มสลายไปกี่ครั้ง กรุงโรมก็จะยังคงอยู่ต่อไป…ตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเกือบ 3000 ปีแล้ว โรมก็ไม่ได้บุบสลายไปสักเท่าไร และสิ่งก่อสร้างที่พิสูจน์ความอยู่ยงคงกระพันในโรมที่ผมอยากให้ไปชมคือที่นี่ครับ วิหารปันเตออน
ชื่อ “Pantheon” มาจากภาษากรีกแปลว่าเทพเจ้าทุกองค์ “all the gods” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่นี่เป็นวัดของpagan (พวกนับถือทวยเทพหรือลัทธิที่แตกต่างจากศาสนา) และที่ต้องบอกว่าเป็นของเทพเจ้าทุกองค์ เพราะตามปกติแต่ละวัดจะเป็นการสร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เช่น วัดอพอลโล เป็นต้น อย่างไรก็ตามที่นี่ถูกเปลี่ยนมาเป็นวัดของศาสนาคริสต์ในช่วงศตวรรษที่ 7 หลังจากโรมได้กำหนดให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ โดย จักรพรรดิ Constantine จนทุกวันนี้ก็ยังเปิดเป็นโบสถ์คริสต์ให้ประชาชนเข้าฟังสวดวันอาทิตย์ตามปกติ
ที่นี่เป็นโบสถ์อนุสรณ์ของนักบุญและถือเป็นสิ่งก่อสร้างโรมันที่คงกระพัน(พันปี)ที่สุดอยู่มานานกว่า 1,400 ปี แต่ที่เราเห็นนั้นเป็นversionที่ 3แล้ว วัดแรกสร้างเมื่อปี 27 B.C.แต่ไฟไหม้วอดไป วัดversionที่ 2 สร้างเมื่อปีที่1B.C.แล้วก็พังไปเช่นกัน ในปี 125AD จึงสร้างในversionปัจจุบันที่เราเห็นมีภาษาละตินเขียนอยู่ที่ด้านหน้าอ่านว่า“M•AGRIPPA•L•F•COS•TERTIVM•FECIT,” แปลเป็นอังกฤษได้ว่า “Marcus Agrippa, son of Lucius, consul for the third time, built this.” หมายถึงการให้เกียรติ Agrippa ผู้สร้างในversionที่1 แม้จะไม่ได้สร้างในversionปัจจุบัน
ส่วนโดมก็ถือว่าโดมแบบคอนกรีตไม่เสริมโครงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำคัญอีกอย่างก็คือเป็นที่ฝังศพจิตรกรที่สร้างคุณประโยชน์สร้างสรรค์งานศิลปะให้กับโรมอย่างมาก นั่นคือ Renaissance Painter ที่ชื่อ Raphael นั่นเอง และข้างๆ เขาก็คือศพของคู่หมั้นในชีวิตจริงของเขาที่ชื่อ Maria Bibbiena เธอเป็นหลานของบาทหลวงราชาคณะที่มีอำนาจแต่เป็นเรื่องเศร้าเพราะหมั้นกันไว้ในปี1514 แต่ Raphael ขอเลื่อนการแต่งงานไป 6 ปี และตัวเองก็ไปพบรักกับสาวลูกเจ้าของร้านขนมปัง ครั้นพอจะกลับมาแต่งงานคู่หมั้นคือMariaก็ตายไปซะก่อน และ Raphael ก็ตายตามไปเมื่ออายุเพียงแค่ 37 ปี
จุดที่4 Piazza Navona
จัตุรัสแห่งนี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นสถานที่โชว์สถาปัตยกรรมแบบบาโรค( Baroque Architecture) ซึ่งชาวโรมต้องขอขอบคุณสันตะปาปาอินโนเชนที่10 ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมาโดยว่าจ้างBernini ปรมาจารย์ของศิลปะแบบบาโรค รวมทั้ง Borromini และ Rainaldi เพื่อจัดการจัตุรัสแห่งนี้ให้กลายเป็น Showcase of Rome ซึ่งมีน้อยคนนักจะที่ไม่ตกหลุมรักสถานที่แห่งนี้
Rainaldi สร้าง Palazzo Pamphilj หรือบ้านให้กับPope ที่นี่ในสมัยที่โรมยังเป็น Papal state แต่ปัจจุบันมันเป็นสถานทูตบราซิลไปแล้ว แต่อาคารที่โดดเด่นที่สุดบนจัตุรัสนี้กลับเป็นวิหารนักบุญแอ็กเนส (Church of Sant’Agnese in Agone) ซึ่งเสียชีวิต ณ ที่นี่ ถือเป็นวิหารมีชื่อของโรม โดดเด่นเรื่องโดม และมีภาพฝาผนัง Ciro Ferri และ Sebastiano Corbellini) ว่ากันว่าหีบเก็บเครื่องประดับตรงแท่นบูชานั้นมีกระโหลกของนักบุญเอกเนสถูกเก็บไว้ในนั้น
ศูนย์กลางของจัตุรัสก็คือเสาโอเบลิสก์ของโดมิเชี่ยน (Obelisk of Domitian ) รอบๆ เสาจะเป็นน้ำพุแห่งสี่มหานที (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งแต่ละมุมจะมีรูปปั้นซึ่งเป็นตัวแทนแม่น้ำใหญ่จาก 4 ทวีป ได้แก่ คงคา ดานูป ไนล์ และ พลาต้า (Rio de la Plata ในทวีปอเมริกาใต้
แต่อีก 2 มุมก็ยังมีน้ำพุ Fontana del Moro โดยฝีมือของ Giacomo Della Porta ที่โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุหินอ่อนสีดอกกุหลาบ และก็ยังมีน้ำพุของเทพแห่งทะเลเนปจูน Fontana del Nettuno ที่คุณพ่อของ Bernini มาช่วยทำอยู่อีกมุมหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าจัตุรัสแห่งนี้เคยเป็นสนามแข่งรถม้าแบบChariot Race ในหนังเรื่อง Ben-Hur (แต่จะมี Circus Maximusที่เป็นสนามที่ใหญ่กว่า) กีฬาสุดฮิตในยุคนั้น ถ้ามองจากด้านบนจะเห็นรูปร่างของสนามกีฬาโรมันโบราณชัดเจน สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 1 มีชื่อว่า Stadium of Domitian จักรพรรดิผู้สั่งสร้าง ซึ่งชาวโรมันจะเดินทางมาที่นี่เพื่อชม agones ที่หมายถึงกีฬา โดยในสมัยนั้นสถานที่แห่งนี้รู้จักในชื่อว่า ‘Circus Agonalis’ (สนามกีฬา) เชื่อกันว่าชื่อของจัตุรัสนี้มาจากการเรียกชื่อสถานที่เพี้ยนจาก ‘in agone’ เป็น ‘navone’ จนกระทั่งกลายมาเป็น ‘navona’ ในที่สุด
แต่ที่นี่มันไม่ใช่จัตุรัสที่สวยงามแต่เพียงอย่างเดียว มันยังมีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงโรมอีกต่างหาก ตอนกลางวันก็จะเต็มไปด้วยศิลปินจิตรกรที่นำผลงานมาขาย และร้านอาหารหรือคาเฟ่รอบๆจัตุรัสก็จะเต็มไปด้วยผู้คน ถ้าคุณอยากจะลิ้มรสชาติของจัตุรัสนี้อยากให้แวะทาน espresso และ tartufo ขนมทรงกลมแบบเห็ดทรุฟเฟิลทานคู่กับwhip creamที่ร้านต้นตำรับที่ชื่อ Tre Scalini เตร สกาลินี่ แปลว่า บันได 3 ขั้น (The Three steps) มันเปิดมาตั้งแต่ปี 1946 ใครๆ ก็มาทาน tartufo ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นระดับsecretary of states ของอเมริกาหรือดาราดังๆ ของฮอลลีวูด “Tartufo Tre Scalini”.มันคือของหวานชื่อดังของโรมที่ทำขึ้นมาโดยตะกูล Ciampini เจ้าของร้านที่นำเอาช็อกโกแลตสวิสถึง 13 รสมาปรุงและยังเป็นสูตรลับมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครเลียนแบบได้เหมือน ต้องไปลองนะครับ
Copy right © 2016 The Editors. All right reserved.
For Advertising Contact
086-3260374
, 081-7856188